แพทย์จุฬาฯ ร่วมมือ กรมแพทย์แผนไทย วิจัยพิสูจน์ “ยาขมิ้นชัน” องค์การเภสัชกรรม รักษาโรคกระเพาะอาหารได้ เทียบเท่ายาลดกรดแผนปัจจุบัน

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter
แพทย์จุฬาฯ ร่วมกับ กรมแพทย์แผนไทย และ แพทย์ระบบทางเดินอาหาร จาก โรงเรียนแพทย์ในประเทศ วิจัยพิสูจน์ ยาขมิ้นชันไทยช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้เทียบเท่ายาลดกรด เตรียมต่อยอดงานวิจัย หนุนขมิ้นชันไทยสู่ตลาดโลก
.
หลายคนอาจเคยมีอาการท้องอืด ปวดแน่น มวนท้อง แสบอก จาก โรคกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่พบได้มากในปัจจุบัน อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ต้องนั่งโต๊ะอยู่กับที่ทั้งวัน และผู้ที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เป็นเวลา และทานอาหารรสจัด
.
แนวทางในการรักษา นอกจากจะเป็นเรื่องของการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว คนที่เป็นโรคกระเพาะก็จะต้องรับประทานยาลดกรด เพื่อบรรเทาอาการด้วย ซึ่งต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งหันไปหาสมุนไพรไทยอย่าง “ยาขมิ้นชัน” แทนยาลดกรดแผนปัจจุบัน แต่คำถามสำคัญ คือ “ขมิ้นชันจะทดแทนยาลดกรดในการรักษาโรคกระเพาะได้หรือ? ใช้อย่างไร? หรือ ต้องใช้ผสมผสานกัน? มีผลข้างเคียงหรือเปล่า”
.
.
ดังนั้น เพื่อไขข้อสงสัยเหล่านี้ รองศาสตราจารย์ ดร.นพ.กฤษณ์ พงศ์พิรุฬห์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการแพทย์บูรณาการเชิงป้องกัน Center of Excellence in Preventive & Integrative Medicine (CE-PIM) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงออกแบบงานวิจัยเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแคปซูลขมิ้นชันไทย เมื่อเทียบกับยาลดกรดแผนปัจจุบัน โดยร่วมมือกับ กรมการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก ทีมนักวิจัยที่เป็นแพทย์ระบบทางเดินอาหารจากโรงเรียนแพทย์หลายแห่งในประเทศ และองค์การเภสัชกรรม ที่สนับสนุนแคปซูลขมิ้นชันสำหรับใช้ในงานวิจัย
.
ขมิ้นชัน มีสรรพคุณ ช่วยเรื่องลม ปัญหาจุกเสียด แน่นท้อง เป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยม และใช้อย่างแพร่หลาย แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีผลวิจัยที่พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า ขมิ้นชันมีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ มีเพียงงานวิจัยที่ทำเทียบกับยาหลอกที่ไม่ออกฤทธิ์เท่านั้น ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงนับเป็นครั้งแรกที่หยิบเอาขมิ้นชัน มาทำวิจัยเทียบกับยาลดกรดของฝรั่ง” รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวถึงความเป็นมาในการออกแบบงานวิจัยยาขมิ้นชันไทย รักษาโรคกระเพาะอาหาร เทียบเท่ายาลดกรดแผนปัจจุบัน
.
รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ เริ่มการศึกษาวิจัยทางคลินิก ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน 2562 จนถึง เดือนเมษายน 2563 โดยมีอาสาสมัครที่เป็นผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร (ระยะเริ่มต้น) และผ่านการตรวจแล้วว่า ไม่ติดเชื้อเอชไพโลไร เข้าร่วมโครงการวิจัยทั้งสิ้น 151 ราย ทั้งนี้ งานวิจัยแบ่งอาสาสมัคร เป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่รับประทานขมิ้นชัน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (แบ่งทาน 4 เวลา) เพียงอย่างเดียว 2) กลุ่มที่รับประทานยาลดกรด Omeprazole ขนาด 20 มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับ ยาหลอก และ 3) กลุ่มที่รับประทาน ทั้งขมิ้นชันขนาด 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน และยา Omeprazole 20 มิลลิกรัมต่อวัน การวัดผลการรักษาด้วย Severity of Dyspepsia Assessment (SODA) ที่ 28 วัน และ 56 วัน พบว่า อาสาสมัครทั้งสามกลุ่มมีอาการต่าง ๆ ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งวันที่ 28 และ วันที่ 56
.
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ยาขมิ้นชัน ของ องค์การเภสัชกรรม และยาลดกรด Omeprazole ให้ผลในการรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ ไม่แตกต่างกัน และการใช้ยาทั้งสองอย่างร่วมกัน ไม่ได้มีประโยชน์ในการรักษาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ผลการรักษาอาจจะทัดเทียมกัน แต่ผลข้างเคียงนั้น ยาขมิ้นชันไทย มีน้อยกว่า
.
“เรายังไม่พบรายงานผลข้างเคียงรุนแรงจากการรับประทานขมิ้นชันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างจากคนไข้ที่่ได้รับยาลดกรด Omeprazole ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น คือ กรดในกระเพาะอาหารลดลง ทำให้แบคทีเรียไม่ดีเดินทางไปถึงลำไส้ และทำให้การดูดซึมสารอาหารบางอย่างผิดปกติไป” 
.
ผลพิสูจน์ “ยาขมิ้นชัน” ของ องค์การเภสัชกรรม นอกจากจะเห็นประโยชน์ทางการรักษาที่ทัดเทียม แต่ผลข้างเคียงที่น้อยกว่า รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวถึงข้อดีอื่น ๆ ของยาขมิ้นชันว่า “ยาขมิ้นชันราคาถูกกว่ายาฝรั่ง หาซื้อได้ง่าย ทานยาขมิ้นชันตัวเดียว สามารถรักษาได้หลายอาการ และปริมาณยาที่ทานแต่ละครั้งก็ไม่สูงเกินไป ในขณะที่ เมื่อทานยาฝรั่ง (แผนปัจจุบัน) อาจต้องทานยาหลายตัว รักษาแยกอาการ เช่น ยาลดกรด ยาลดแก๊ส เป็นต้น”
.
.
รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวย้ำว่า งานวิจัยนี้ พิสูจน์และรับรองผลเฉพาะยาขมิ้นชัน ที่ผลิตโดย องค์การเภสัชกรรม เท่านั้น ไม่ได้รับรองขมิ้นชันแบรนด์อื่น ๆ ที่มีวางขายในตลาด นอกจากนี้ รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ยังชี้ให้เห็นข้อแตกต่างระหว่าง “ยาขมิ้นชัน” และ “สารสกัดขมิ้นชัน” ที่หลายคนอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่
.
“สารสกัดขมิ้น” (Curcuminnoids) อย่างที่มีการวิจัย และใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ ออกฤทธิ์ช่วยลดปวด ฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ ไม่ใช่ตัวเดียวกันกับ “ยาขมิ้นชัน” (ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Turmeric หรือ Curcumin) เพราะยาขมิ้นชันที่ใช้ในงานวิจัยนี้ เป็นขมิ้นชันของไทย ไม่ใช่สารสกัด แต่เป็นขมิ้นชันที่มาจากการตากแห้ง และบดผง ซึ่งมีทั้งสาร Curcuminnoids และสารตัวอื่น ๆ รวมถึงกลุ่มน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil)”
.
ด้วยผลพิสูจน์จากการวิจัย รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวว่า จุฬาฯ จับมือกับ องค์การเภสัชกรรม เตรียมผลักดัน “ยาขมิ้นชัน” ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ ออกสู่ตลาดโลก ภายใต้ชื่อแบรนด์ ThaiCureMin ในอนาคต รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ วางแผนจะหาเกษตรกร และแหล่งปลูกขมิ้นแบบออแกนิก ที่สามารถตรวจสอบที่มาได้ชัดเจน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มมูลค่าและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคอีกด้วย
.
สำหรับการวิจัยขมิ้นชันไทยในเฟสต่อไป รศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวว่า ทีมวิจัยจะตรวจวัดน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นชันว่า มีสารอะไรบ้าง และในปริมาณเท่าใด โดยจะร่วมมือกับ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศูนย์พระนครเหนือ นอกจากนี้ ยังมีแผนจะจับมือกับ George Washington University ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทำวิจัยแบบเดียวกันในประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งตรวจจุลินทรีย์ในอุจจาระ เพื่อศึกษาว่าขมิ้นชันจัดเป็นพรีไบโอติกส์ (prebiotics) หรือไม่

RANDOM

บอร์ด กกท. ที่นำโดย “บิ๊กป้อม” ถอยกรูด เมื่อปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะรัฐบาลกำลังเปลี่ยนมือ และเงินยังไม่ได้อนุมัติ จึงมีมติแจ้งยกเลิกการเป็นเจ้าภาพ เอเชียนอินดอร์ และมาเชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6 ที่ไทยขอเป็นเจ้าภาพเองในปลายปีนี้

กรมพัฒนาที่ดิน เชิญชวนเยาวชนและบุคคลทั่วไป ร่วมประกวดภาพถ่าย หัวข้อ “Soil and Water : a source of life ดินดี น้ำสมบูรณ์ เกื้อกูลชีวิต” เนื่องในวันดินโลก ปี 2566 ส่งผลงานได้ ตั้งแต่บัดนี้ – 16 ต.ค. 66

error: Content is protected !!