ตำนาน ‘จ่า’ ท้ารบ ‘เสธ.’ จ่าสิบเอกไฉน VS พันเอกอนุ

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ถูกบันทึกโดยหนังสือพิมพ์ในยุคนั้น

ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า โคตรมันส์ ระหว่าง “จ่าไหน” หรือป๋าไหน จ.ส.อ.ไฉน ผ่องสุภา ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสตาฟฟ์ผู้ฝึกสอนทีมมวยสากลโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 23 ปี พ.ศ.2527 ซึ่งจัดแข่งขันที่ลอสแองเจลีส สหรัฐอเมริกา

ด้วยสไตล์ของ “ป๋าไหน” ที่เป็นคนตรงๆกล้าพูด จึงเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าท้ารบกับ “เสธ.อนุ” พันเอก อนุ รมยานนท์ ที่สมัยนั้นถือเป็นผู้ทรงอำนาจทางการกีฬาเมืองไทย นั่งตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาหลายแห่ง รวมทั้งการได้มาเจอกันกับ “จ่าไหน” ในฐานะตำแหน่งนายกสมาคมมวยสมัครเล่น

ถ้าเทียบยศแล้ว ต้องถือว่าคนละชั้น และยิ่งถ้าเทียบอำนาจในวินาทีนั้น ยิ่งต้องบอกว่า “โคตรห่างไกล” ระหว่างทั้งสองคน…แต่จ่าไหน ไม่กลัว เสธ.อนุ

เรื่องระหองระแหงตั้งแต่ก่อนไปแข่ง เมื่อสมาคมมวย แต่งตั้ง โจ เอ็ดเวิร์ด เคล้าส์ ผู้ฝึกสอนมวยจากสหรัฐมาทำหน้าที่ หัวหน้าสตาฟฟ์โค้ช เพราะจ่าไหน ไม่ชอบสไตล์และแนวทางการทำมวยของ โจ แต่ก็ไปกันได้จนถึงการไปเก็บตัวที่สหรัฐ

ข่าวเริ่มเปิดออกมาว่า ทีมมวยสากลไม่พอใจพฤติกรรมของโค้ชชาวอเมริกันคนนี้ที่เอาลูกเมียเข้าพักที่บ้านเช่าของทีมมวย และ มีเรื่องฉาวที่ถูกเปิดออกมาคือ ค่าเช่าที่พักที่สูงถึงเดือนละ 5 พันเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบดูแล้วไม่น่าถึง พร้อมทั้งค่าอาหารหัวละ 12 เหรียญสหรัฐต่อวัน แต่อาหารแย่มาก ไม่ถูกปากต่างหาก

และจ่าไหน เองก็ประกาศผ่านสื่อทันที ว่าจากนี้ไปจะไม่ร่วมทำงานกับสมาคมมวยชุดนี้อีก เพราะการทำงานที่ไม่เป็นงาน…นั่นหมายถึงการฟาดถึง เสธอนุ ที่ยังอยู่ที่เมืองไทย

ยักษ์ ยมนา คอลัมน์นิสต์สื่อลงข่าวย้ำความขัดแย้งนี้ว่า สมาคมมวยควรเข้าไปแก้ปัญหาในการเก็บตัวที่สหรัฐโดยด่วน เพราะถ้าปล่อยไว้จะทำให้ความหวังเลือนราง

     

     

ทางด้านฝั่งสหรัฐ ที่ทีมมวยของไทยเก็บตัวอยู่ “จ่าไหน” เมื่อมีโอกาสเจอกงศุลใหญ่ประจำลอสแองเจลีส ก็ร้องเรียนเรื่องความเป็นอยู่และความลำบากของทีมนักมวย จนทางกงศุลต้องส่งแม่ครัวเข้าไปทำอาหารให้  ซึ่งก็เป็นข่าวใหญ่ผ่านสื่อมาถึงเมืองไทย จนมีกระแสว่าสมาคมฯ จะมีการส่งตัว “จ่าไหน” กลับเมืองไทย เพราะถูกมองว่าสร้างปัญหา

ข่าวใน นสพ.เดลินิวส์ ยังระบุชัด ๆ อีกว่า จ่าไหน ที่สื่อรู้จักและตั้งฉายาว่า จ่าเจ้าน้ำตานั้น ได้ร้องไห้ต่อหน้ากงสุลใหญ่ด้วย เมื่อได้มีการพูดถึงความลำบากของทีมนักมวยไทยในการเจอครั้งนั้น

วันที่ 19 ก.ค.2527 พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ ตอนนั้นเป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปิกของไทย ได้เดินทางถึงสหรัฐและเดินทางไปเยี่ยมทีมมวย ให้โอวาททีมมวย พร้อมกับ พันเอกอนุ นายกสมาคมมวยสากล   โดยพลอากาศเอกทวี ให้โอวาทเสร็จ ก็ถามทุกคนมีอะไรจะพูดหรือบอกกล่าวถึงปัญหาไหมทุกคนก็เงียบ และท่านก็หันไปถามทางจ่าไหน ว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เรื่องที่ว่าจะส่งตัวกลับเมืองไทย ก็เป็นอันว่าหมดไปนะ จ่าไหนก็ไม่ได้พูดอะไร

      

จากเหตุการณ์นี้ข่าวคราวภายในสมาคมมวยสากลของไทย จึงคาดว่าน่าจะจบเพราะผู้ใหญ่เคลียร์แล้ว และเสธ.อนุ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

แต่ก็ปะทุอีกจนได้ และเป็นที่มาของ คำว่า “จ่าท้ารบเสธ.” จากหนนี้

      

เมื่อ 20 ก.ค. ซึ่งถือเป็นวันซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่หมู่บ้านนักกีฬา ปรากฏว่า “เสธ.อนุ” ในฐานะนายกสมาคมมวยสากลไปปรากฏตัวดูการฝึกซ้อมด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานตอนนั้นว่า ในระหว่างฝึกซ้อม จ่าไหน ได้สอบถาม พ.ต.อ.สำเริง ยิ้มสำราญ ประธานเทคนิคสมาคม ที่อยู่ตรงนั้นด้วยว่า ใครเป็นผู้นำเอาเรื่องที่พูดกันว่าตนไม่มีฝีมือในการทำมวยสมัครเล่น ดีแต่ทำมวยอาชีพไปพูด จนเป็นที่พูดกันอย่างกว้างขวาง  ซึ่ง พ.ต.อ.สำเริง ปฏิเสธว่าไม่ทราบ เมื่อได้รับการปฏิเสธ จ่าไหน ก็หันไปถามพันเอกอนุ ด้วยคำถามเดิม โดย พันเอกอนุก็ปฏิเสธ

ผู้สื่อข่าวได้บันทึกต่อว่า เมื่อได้รับการปฏิเสธจาก พันเอกอนุ โค้ชมวยไทยรายนี้ก็เกิดโทสะอย่างปัจจุบันทันด่วนและรุนแรง แล้วแสดงอาการใช้มือชี้หน้า พันเอกอนุ พร้อมกับพูดด้วยอารมณ์โกรธจัดว่า ในการชกมวยโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ ถ้านักมวยไม่ได้เหรียญ พันเอกอนุสมควรลาออกจากการเป็นนายกสมาคมมวยสากล เพราะมาครั้งนี้หลายฝ่ายช่วยกันดี แต่บางคนกลับไม่ดี และเสร็จงานนี้ตนเองและสมาคมเป็นอันขาดกัน

           

บันทึกได้ระบุต่ออีกว่า จากเหตุการณ์นั้นทำให้ พันเอกอนุโกรธจัดและการไม่สบายอยู่แล้วถึงกับอาการกำเริบขึ้นมาอย่างกระทันหัน จนแพทย์ประจำตัวต้องเอายาให้ และนำผู้ยิ่งใหญ่ในวงการกีฬาไทยเดินทางกลับที่พัก

และก่อนที่พันเอกอนุจะก้าวขึ้นรถไปนั้น จ่าไหน ก็ได้กล่าวสำทับอีกด้วยว่า  “แค้นนี้ต้องชำระ”

หลังจากเหตุการณ์นั้น จ่าสิบเอกไฉน ผ่องสุภา ได้เปิดเผยว่า ใครๆ ก็มองว่าตนเป็นตัวปัญหา แต่ตนเองก็ยอมเพราะต้องการจะทำให้สิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์กับนักมวยมากที่สุด

     

นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่ถือเป็นเรื่องฮือฮามาในช่วงนั้น โดยหลังจากโอลิมปิกเกมส์หนนั้น “จ่าไฉน” หรือ ที่สื่ออย่างเราเรียกว่า “ป๋าไหน” ก็ถอยห่างสมาคมมวยสากลอย่างที่ได้พูดไว้  และเรื่องราวเหล่านี้ก็ผ่านไป เหลือแต่บันทึกเรื่องจริงนี้ไว้ซึ่งหลายคนที่เคยติดตามอาจจะลืม…แต่ผมอ่านเมื่อไหร่ก็สนุกเมื่อนึกถึงอดีตที่คุ้นเคยกับป๋า และสไตล์ของป๋าไหนมา  เลยนำมาบันทึกไว้เพื่อแบ่งปัน.

RANDOM

error: Content is protected !!