“ก่อคเณศ รุ้งสันเทียะ” ปราชญ์ฯ ต้นแบบสัมมาชีพ คืนวิถี ‘สีย้อมธรรมชาติ’

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter
“ก่อคเณศ รุ้งสันเทียะ”  นวัตกรชุมชนหนุ่มไฟแรงจากจังหวัดอุดรธานี ผู้คว้ารางวัลมากมายจากฐานความรู้ และประสบการณ์คิดค้นสีจากธรรมชาติ ล่าสุดกับรางวัล “ปราชญ์ชาวบ้านต้นแบบสัมมาชีพ” ของมูลนิธิสัมมาชีพ ด้วยผลงาน “นวัตกรรมสีย้อมจากธรรมชาติ” 
.
การคิดค้นของเขา นอกจากจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการสิ่งทอ นำสู่การตื่นตัวย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติแล้ว สิ่งที่ตามมา คือ การช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะลดสารเคมีในการย้อม ลดน้ำเสีย ช่วยอนุรักษ์และส่งเสริมการปลูกต้นไม้ที่ให้สีย้อม ทั้งยังเป็นการประยุกต์ภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์วัตถุดิบจากพืช และของเหลือใช้ภาคเกษตร
.
“ก่อคเณศ” ยังมีส่วนเข้าไปฟื้นอัตลักษณ์ชุมชนด้านการทอผ้า การฟื้นฟูศิลปะลวดลายต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็พัฒนาหัตถกรรมชุมชนด้วยศิลปะร่วมสมัย เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักการสัมมาชีพ ด้านอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ นำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
.
“ผมดีใจและภูมิใจที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะเป็นรางวัลที่คัดสรรคนเก่งจากทั่วประเทศ และตัวเองมีโอกาสเป็นหนึ่งในสี่ท่านที่ได้รับการคัดสรรเป็นปราชญ์ชาวบ้านต้นแบบสัมมาชีพ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจกับความทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ไปกับการทำงานเพื่อชุมชน พอได้รางวัลนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ต้องทำให้ดีมากกว่าเดิมอีก” เจ้าตัวเผย
.
นวัตกรรมที่โดดเด่นของ “ก่อคเณศ”  ผู้ร่วมก่อตั้ง ที่ปรึกษากลุ่มวิสาหกิจชุมชนอ้วนกลมแฮปปี้ฟาร์ม และ ปราชญ์นวัตกรรมสีย้อมธรรมชาติ จาก กรมหม่อนไหม อาทิ
.
.
“นวัตกรรมการจัดการเรื่องครามธรรมชาติ” จากการนำต้นครามมาทำสีย้อมธรรมชาติ และคิดค้นเทคนิคการก่อหม้อคราม (การเตรียมเนื้อครามให้พร้อมที่จะนำผ้า หรือ ด้ายมาย้อม) ร่นระยะเวลาให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ นวัตกรรมสีย้อมธรรมชาติ ยังทำให้ได้สีย้อมที่มีลักษณะเฉพาะตามทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่
.
เราใช้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ แห่งนี้ เป็นศูนย์การเรียนรู้การสร้างกระบวนการจัดการวัตถุดิบ เพื่อนวัตกรรมชุมชน เข้าไปให้ความรู้การทำสีย้อมจากธรรมชาติกับชุมชนในหลายจังหวัด
.
กรณีของคราม ทำให้ชุมชนหันมาปลูกต้นคราม แทนการซื้อครามเพื่อลดต้นทุน และต้นครามเป็นพืชตระกูลถั่ว คล้ายกับ ต้นปอเทือง จึงเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี เราให้แนวคิดกับภาครัฐ เอกชน ขยายผลสู่การปลูกครามแปลงใหญ่ในกว่า 20 จังหวัด เกิดรายได้ เกิดการจ้างงานในชุมชน และเมื่อเราเข้าไปให้ความรู้ชาวบ้าน เรื่องการย้อมคราม ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่เนื้อคราม แต่ยังได้เห็นคนกลับมาทอผ้า คืนอัตลักษณ์กลับมาในหลายชุมชน
.
นวัตกรรมโดดเด่นถัดมา คือ การนำฟางข้าวจากข้าวพันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ทั่วไป มาทำเป็นสีย้อมธรรมชาติ โดยสามารถพัฒนาเป็นสีได้มากถึง 64 เฉดสี ถือเป็นการยกระดับฟางข้าว ซึ่งเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรให้กลับมามีคุณค่า ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการเผาฟางที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และทำให้ชุมชนกลายเป็นผู้ผลิตสีจากเศษวัสดุทางเกษตร
.
นวัตกรรมดังกล่าว นับเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนแนวทาง BCG (Bio – Circular – Green Economy) และ การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อย่างเป็นรูปธรรม
.
“โดยเมื่อปี 2563 – 2564 ผมได้ไปร่วมพัฒนาการทำสีย้อมจากฟางข้าว กับ โครงการหน่วยงานขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา องค์ความรู้ที่ได้ นอกจากจะใช้ฟางทำสีย้อมเส้นใย ย้อมไหม และย้อมฝ้าย ได้แล้ว ยังนำไปทำเป็นสีสำหรับสกรีนได้ด้วย” 
.
“ปี 2565 พบว่า มีแบรนด์สินค้าโอท็อปหลายสิบราย หันมาผลิตผ้าย้อมสีฟางข้าวเพิ่มขึ้น และ ตั้งแต่ ปี 2564 – ปัจจุบัน ได้เข้าไปให้ความรู้ด้านนี้กับกลุ่มต่าง ๆ 200 กว่ากลุ่ม ทั้งที่เป็นกลุ่มชุมชน และ สถาบันการศึกษา ทำให้ความรู้นี้กระจายออกไปกว้างขวางขึ้น ” 
.
อีกนวัตกรรมสีย้อมจากธรรมชาติที่ “ก่อคเณศ” พัฒนา คือ  “การทำสีย้อมธรรมชาติจากดินทั่วประเทศ” โดยเขาบอกว่า สามารถพัฒนาได้มากกว่า 600 เฉดสี 
.
ที่น่าสนใจ คือ ไม่เฉพาะ “ดินดี” เท่านั้น ที่นำมาทำสีย้อมธรรมชาติ “ดินเสื่อมสภาพ” ก็สามารถนำมาปรับปรุง เพื่อทำสีย้อมได้ และนำไปใช้ได้ ทั้งการย้อมผ้า ย้อมเส้นไหม ย้อมเสื่อกก ทำสีสกรีน แม้แต่การทำสีสำหรับย้อมผม ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากดินได้ 100%
.
.
“เมื่อปี 2560 ผมมีโอกาสถวายงาน กรมสมเด็จพระเทพฯ เรื่อง สีจากแร่และดิน เพื่อปรับสมดุลศักยภาพของผ้าทออีสาน จากนั้นก็พัฒนาองค์ความรู้ ร่วมกับ กรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกับ มูลนิธิชัยพัฒนา จนถ่ายทอดความรู้ไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 120 กลุ่ม  และในปี 2567 จะมีการถ่ายทอดความรู้สู่เทศบาลต่าง ๆ ราว 40 กลุ่ม” “ก่อคเณศ” เผย
.
เรียกว่า ใบไม้ เปลือกไม้ สมุนไพร ดิน โคลน หญ้าแฝก ฯลฯ กระทั่งน้ำที่ผ่านการย้อม ยังถูก “ก่อคเณศ” นำมาหมุนเวียนใช้ใหม่ สร้างเฉดสีใหม่ ๆ  
.
จากประสบการณ์ทำงานชุมชนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมมากว่า 24 ปี เป็นทั้งอาสาสมัครด้านสิ่งแวดล้อม นักวิจัยชุมชนด้านพันธุ์ไม้ในป่าให้สี ของ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ก่อนจะมาเปิดร้านสอนศิลปะ (วาดรูป ออกแบบผลิตภัณฑ์ ย้อมผ้า) ที่ตัวเมืองอุดรธานี ขยับสู่การเป็นนวัตกรชุมชน ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอ้วนกลมแฮปปี้ฟาร์ม ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ใน จ.อุดรธานี เพื่อขยายผลการทำงานเพื่อชุมชนให้มากขึ้น
.
ปัจจุบันเขายังเป็นนักคิด นักออกแบบ นักวิจัย/ที่ปรึกษา และ นักวิชาการอาวุโส สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้านนวัตกรรมสิ่งทอ
.
ประสบการณ์เหล่านี้เป็นการหลอมรวมทั้ง “องค์ความรู้” ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ด้านนวัตกรรมสีย้อมธรรมชาติ และเมื่อนำมาผสานกับความรู้เดิมด้านศิลปะ ที่เขาจบการศึกษา สาขาจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ จาก สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแรงบันดาลใจจากคนในครอบครัว คือ คุณยาย ซึ่งเป็นชาวนครพนม ในการฟื้นอัตลักษณ์ชุมชน ด้วยการย้อมผ้าจากสีย้อมธรรมชาติ กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่การทำงานยกระดับหัตถกรรมชุมชน ไปพร้อมกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
.
“ยายบอกผมว่า ยิ่งย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติมากเท่าไหร่ เราจะได้เห็นต้นไม้ที่เราไม่เคยเห็นกลับมาปลูกอีก ทำให้ทุกครั้งที่ผมสอนชาวบ้านย้อมสีธรรมชาติ ก็จะบอกแม่ ๆ ป้า ๆ แบบนี้”
.
“ก่อคเณศ” ยังบอกอีกด้วยว่า สีย้อมจากธรรมชาติ ยังช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการจัดการน้ำทิ้งจากสีย้อมเคมี ซึ่งข้อมูลของ กรมพัฒนาชุมชน เมื่อปี 2560 พบว่า ผู้ประกอบการโอท็อปด้านสิ่งทอและงานทอผ้ากว่า 4 หมื่นกลุ่มทั่วประเทศ มีเพียง 0.4% ที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติ นี่คือปัญหาที่เห็น
.
ที่ผ่านมา ได้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการสนับสนุนให้ความรู้ในการใช้สีย้อมธรรมชาติจากพืช วัตถุดิบในท้องถิ่น จนถึงปัจจุบันได้กระจายความรู้ให้กับชุมชนไปแล้วกว่า 1,800 กลุ่มในทุกภาคของประเทศ อาทิ จ.ศรีสะเกษ เข้าไปให้ความรู้การนำใบ/ต้นลำดวน ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำถิ่น และการนำดินภูเขาไฟมาทำเป็นสีย้อมธรรมชาติ การนำทุเรียนไปทำน้ำด่างสำหรับก่อหม้อคราม และผสมสีอื่น ๆ จากเปลือกทุเรียน
.
จ.บุรีรัมย์ ร่วมกับ ภาคเอกชน ให้ความรู้ในการปลูกคราม และเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สีย้อมเคมี มาใช้สีย้อมธรรมชาติ  จ.อุดรธานี ให้แนวทางกับ กรมพัฒนาชุมชน และพาณิชย์จังหวัด ในการนำสีธรรมชาติไปใช้ และเขียนหลักสูตรให้ กรมพัฒนาชุมชน เรื่อง “การจัดการไม้ให้สี” เพื่อนำไปต่อยอดกระบวนการจัดการโครงการ โคก หนอง นา ใน จ.อุดรธานี ส่วน จ.สุรินทร์ ร่วมกับ มูลนิธิขวัญชุมชน ไปให้ความรู้การย้อมสีฟางข้าว และสกัดสีฟางข้าวจากทุ่งกุลาร้องไห้
.
.
“ในภาคอีสานส่วนใหญ่ ไม่มีโรงย้อมไม้ให้สี หรือ การนำของเหลือทางการเกษตรมาย้อมผ้า ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับภาครัฐในพื้นที่ ให้แนวคิด ส่งเสริมให้มีโรงย้อมผ้าจากสีธรรมชาติให้เกิดขึ้นในชุมชนต่าง ๆ อย่างน้อย 8 แห่ง ในภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด เพื่อทำให้เกิดเครือข่ายของ กรมพัฒนาชุมชน ขับเคลื่อนการไม่ใช้สีเคมีในการย้อม ลดมลภาวะพิษในชุมชน” 
.
ทั้งหมดนี้ คือ การถ่ายทอดนวัตกรรมสีย้อมธรรมชาติ ของ “ก่อคเณศ” สู่การพัฒนาชุมชน คืนอัตลักษณ์ท้องถิ่น วิถีทอผ้า ไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม กระจายความรู้ออกไปสู่ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ อย่างไม่สิ้นสุด 

RANDOM

กรมชลประทาน ชวนประกวดถ่ายภาพ หัวข้อ “ชีพ ชีวา ชล” ชลประทานสร้างอาชีพ หล่อเลี้ยงชีวิต ขยายเศรษฐกิจ ใกล้ชิดวัฒนธรรม ชิงเงินรางวัลรวม 1.3 แสนบาท ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. – 10 พ.ย. 66

error: Content is protected !!