เข้าใจตัวเองก่อนเรียนมหาวิทยาลัย…เลือกอย่างไร คณะแบบไหนที่ใช่ใน TCAS

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

อาจารย์แนะแนว โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายมัธยม ไข 16 คำถามยอดฮิต จากเด็ก TCAS 66 ให้หลักคิดเลือกเรียนคณะที่ใช่ ตรงกับใจและความถนัด เพื่อที่จะเรียนและใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยได้อย่างมีความสุข พร้อมแนะวิธีคุยกับผู้ใหญ่ให้เข้าใจเส้นทางการเรียนที่เลือก

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของน้อง ๆ นักเรียนหลายคน เนื่องจากเป็นช่วงที่เราจะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย และค้นหาตัวเองว่า ในอนาคตเราจะเลือกเรียนสาขาวิชาอะไร ที่เราสามารถอยู่กับมันและใช้วิชาความรู้เหล่านั้นหาเลี้ยงชีพได้ สำหรับน้อง ๆ ที่มีสาขาวิชา และมหาวิทยาลัยในฝันแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องพยายาม เพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง

อาจารย์ ดร.รับขวัญ ภูษาแก้ว

แต่เชื่อว่ายังมีน้อง ๆ อีกหลายคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะเรียนต่อที่คณะ หรือ มหาวิทยาลัยไหนดี มีคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในใจ และยังคิดไม่ตกกับอนาคตข้างหน้า ในบทความนี้ จึงได้รวบรวมคำถามสำคัญ 16 ข้อ ที่น้อง ๆ ระดับมัธยมอยากรู้เกี่ยวกับแนวทางการเลือกเรียนในระดับมหาวิทยาลัย โดยได้รับเกียรติจาก อาจารย์ ดร.รับขวัญ ภูษาแก้ว หัวหน้าศูนย์แนะแนว โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม มาแนะนำข้อคิดดี ๆ เพื่อให้การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ มีส่วนช่วยให้น้อง ๆ เรียนและใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างมีความสุข

1. เลือกคณะไหนดี? เลือกคณะที่ชอบ คิดแค่นี้พอไหม ?
ก่อนที่จะเลือกคณะ และ สาขาวิชาเรียน เราควรตกผลึกและรู้จักตัวเองให้ดีพอสมควรก่อน เราไม่ควรดูแค่ความชอบอย่างเดียวเพราะความชอบ หรือ ความสนใจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก หากใครยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกคณะไหนดี หรือ จะคิดอย่างไรให้ได้คำตอบที่ใกล้เคียงกับความเป็นตัวเองที่สุด อาจารย์รับขวัญ แนะข้อทบทวนตัวเอง 5 เรื่อง ได้แก่

1. ความชอบและความสนใจ หมายถึง สิ่งที่เราอยากได้ อยากเห็น อยากเรียนรู้ หากเรารู้ว่าเราชอบ หรือ สนใจอะไร เราก็มีแนวโน้มที่จะอยู่กับสิ่งนั้นได้นาน ไม่รู้สึกเบื่อ ซึ่งจะทำให้เราอยากเรียนรู้ และใส่ใจสิ่งนี้มากขึ้น

2. ความถนัด เป็นทักษะและความเชี่ยวชาญที่จะให้เราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเกิดผลงานที่ดี ความถนัดมีทั้งความถนัดเฉพาะทาง ความถนัดด้านวิชาการ อันเกิดมาจากการสั่งสมประสบการณ์ การฝึกทักษะของตนเองจนเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ เป็นทักษะพิเศษที่คน ๆ นั้นมี และจะไม่หายไป ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีความสุขกับงานที่ทำ รู้สึกถึงความสำเร็จ รู้สึกว่าภูมิใจในสิ่งนั้น ๆ
ถ้าอยากเลือกสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เราก็ต้องดูว่าตนเองถนัดวิชาวิทยาศาสตร์หรือไม่ ถ้าความชอบ ความสนใจ กับ ความถนัดไปด้วยกันได้จะดีมาก หากมีความชอบและสนใจ แต่ไม่มีความถนัดในสาขา หรือ วิชานั้น ๆ อาจารย์ก็อยากให้ลองคิดดูใหม่ เพราะความชอบและความสนใจสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าให้เลือกระหว่างความชอบ และ ความถนัด อยากให้มองที่ความถนัดมากกว่า เพราะความถนัดจะช่วยให้สามารถเรียนได้สำเร็จ ทำให้ไปต่อได้ โดยไม่สะดุด ช่วยทำให้ต่อยอดได้มาก

3. ความสามารถ เป็นระดับสติปัญญา ทักษะการแก้ปัญหา ไหวพริบต่าง ๆ เป็นสิ่งที่สามารถดูได้จากผลการเรียน
ในการรับสมัครบางคณะจะมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำ หรือ เกณฑ์คะแนนขั้นต่ำ หมายความว่า เกรด หรือ คะแนนขั้นต่ำ จะเป็นตัวการันตีว่า ถ้าได้เกรด หรือ คะแนนเท่านี้ นักเรียนจะสามารถเรียนคณะนี้ได้สำเร็จ เพราะความสามารถเป็นสิ่งที่ทดสอบได้ด้วยสติปัญญา ดังนั้น ทางคณะต่าง ๆ จึงดูความสามารถเบื้องต้นจากผลการเรียน เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถตอบได้ว่า ระดับสติปัญญาและความสามารถของผู้เรียนอยู่ในระะดับใด อีกทั้งยังบ่งบอกความรับผิดชอบของเรา ตอนที่เป็นนักเรียนด้วย อาจารย์เคยมีประสบการณ์ที่มีนักเรียนที่อยากเรียนคณะหนึ่งมาก ๆ แต่สอบปีแล้วปีเล่าก็ไม่ได้ ก็อาจหมายถึง ความสามารถยังไม่ถึง เราควรเลือกสิ่งที่สอดคล้องกับเรา เหมาะสมกับเรามากกว่า

4. บุคลิกภาพ เป็นตัวตนของเราที่สอดคล้องกับคณะวิชา หรือ อาชีพในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ ร่างกาย จิตใจ นับเป็นกลุ่มบุคลิกภาพทั้งหมด เราจะต้องศึกษาว่า คณะวิชา หรือ อาชีพที่เราสนใจเข้ากับบุคลิกภาพและตัวตนของเราหรือไม่ คนเรียนคณะนี้ หรือ ทำอาชีพนี้ต้องเป็นคนช่างพูด ช่างเจรจา หรือ คนที่เรียนคณะวิชานี้ ต้องเป็นคนที่สามารถอ่านหนังสืออยู่กับตำรานาน ๆ ได้ ตัวอย่าง บางคนกลัวแดด ไม่ชอบออกข้างนอก แต่ไปเรียนวิทยาศาสตร์ทางทะเล ที่จะต้องออกทะเล ลงพื้นที่กลางแจ้งบ่อย ๆ คณะ หรือ อาชีพนั้นก็จะไม่ถูกกับบุคลิกภาพตัวเอง

5. ความหลงใหล (Passion) เป็นความรัก ความทุ่มเทกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไม่เปลี่ยนแปลง เป็นแรงผลักดันให้คน ๆ หนึ่งทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้สำเร็จ อาจจะเป็นความฝันตั้งแต่ยังเด็กว่า เราอยากเรียนหรือทำอาชีพนี้ หากน้อง ๆ มีคำตอบในเรื่องความชอบ ความถนัด ความหลงใหล ความสามารถ และบุคลิกภาพ ครบทั้ง 5 ข้อ ก็จะดีมาก เพราะนั่นจะช่วยให้เราชัดเจนว่า เราเหมาะสมกับคณะวิชาใด แค่ไหน และทำให้เรามั่นใจกับคณะที่ตัดสินใจเลือกมากขึ้น แต่หากเรามีคำตอบไม่ครบทุกข้อ อย่างน้อยก็ควรจะมากกว่า 3 ใน 5 ข้อข้างต้น เพื่อที่เราจะได้เรียนคณะที่ชอบ ถนัด และอยู่กับมันได้

นอกจากข้อพิจารณาทั้ง 5 ข้อนี้ แล้ว ปัจจุบันมีแบบทดสอบ แบบประเมิน และ แบบสำรวจทางจิตวิทยามากมาย ที่จะช่วยเราประเมินความชอบ ความสนใจ ในกลุ่มอาชีพ ความถนัดในคณะวิชา ขอให้ลองไปทำ ทำจากหลาย ๆ แหล่ง หลาย ๆ แบบ ซึ่งอาจไปขอได้จากครูแนะแนว หรือ จากเว็บไซต์ด้านการศึกษา

สิ่งสำคัญ คือ ขณะทำแบบทดสอบดังกล่าว “ขอให้จริงใจกับตัวเอง” ตอบตามที่ตัวเองรู้สึกจริง ๆ อย่าโกหกตัวเอง ไม่ใช้อคติ หรือ คาดเดาแนวโน้มของคำตอบว่าจะเป็นอย่างไร จากนั้นนำข้อมูลมาเปรียบเทียบและวิเคราะห์ ก็จะเห็นความเป็นตัวตนของเราพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในการทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา ไม่ได้ให้เราเชื่อ 100% แต่เป็นการทำเพื่อให้เราได้กลับมาถามตัวเองว่า “มันใช่เราไหม” ขณะเดียวกัน ให้ลองพูดคุยสอบถามกับคนใกล้ตัวด้วย เช่น เพื่อน คุณพ่อ คุณแม่ ครูที่สนิท ว่าตัวเราเป็นออย่างไร สอดคล้องกับบททดสอบทางจิตวิทยาหรือไม่ และตัวเราเองจะต้องสังเกตตัวเองด้วย แล้วเอาข้อมูลรอบด้านทั้งหมดนี้มาประกอบกัน

2. มีไหม ? คณะวิชาแบบไหนที่ไม่ควรเลือก
เพราะเราควรเลือกเรียนคณะที่สอดคล้องกับตัวตนของเรามากที่สุด ดังนั้น คณะที่เราไม่ควรเลือก ก็คือ คณะที่ไม่สอดคล้องกับตัวเรา และเราไม่ควรเลือกเรียนคณะนั้น ๆ ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้

X ไม่เลือกคณะตามเพื่อน
X ไม่เลือกตามที่คุณพ่อคุณแม่สั่ง หรือ บอกให้เลือก โดยที่เราไม่ได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน โดยเฉพาะเมื่อยังไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัย 5 ประการ ที่สอดคล้องกับตัวตนของเรา
X ไม่เลือกคณะที่คนอื่นว่าดี แต่ตัวเราเองไม่รู้จัก หรือ ไม่เคยหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะนั้นมาก่อน
X ไม่เลือกเพราะคะแนนเราดี หรือ คะแนนของเราถึง หรือ อยากมีชื่อติดในคณะ หรือ มหาวิทยาลัยนั้น ๆ

นอกจากความเป็นตัวตนของเราแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกคณะเรียนด้วย อาทิ ค่าใช้จ่าย แม้ว่าเราจะสอบติด แต่ถ้าครอบครัวไม่สามารถสนับสนุนได้ เพราะค่าเล่าเรียนสูงมาก โดยเฉพาะหลักสูตรอินเตอร์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ โครงการพิเศษ ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้เข้าเรียน แต่ก็มีข้อยกเว้นว่า ถ้าพิจารณาดูแล้ว ตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะขอทุน และที่คณะมีทุนให้สำหรับนักเรียนผลการดี แต่ไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ ให้สอบถามข้อมูลจากทางคณะก่อน แล้วค่อยสมัคร ต้องมั่นใจว่า ตัวเองสามารถได้รับทุนนี้ ไม่เช่นนั้นนอกจากจะเป็นการกันที่คนอื่นแล้ว ตัวเราเองก็จะเสียความรู้สึกด้วย เพราะเราสอบผ่านแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน คุณพ่อคุณแม่ก็อาจรู้สึกผิดที่ส่งลูกเรียนไม่ได้ จึงไม่แนะนำให้เลือก

3. จริงหรือไม่ ? ได้เรียนคณะในฝันแล้ว จะมีความสุข
มีทั้งจริงและไม่จริง หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ได้เข้าเรียนในคณะที่ชอบเป็นตัวเราที่ใช่แล้ว ทุกอย่างจะราบรื่นเป็นสีชมพู ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ถ้าเราได้เข้าคณะที่ชอบมาตลอดชีวิต แล้วมีองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย คือ มีความถนัด ความสามารถ และที่บ้านสนับสนุน อาจารย์เชื่อว่าเราจะเรียนได้อย่างมีความสุข เพราะคนที่ได้ทำในสิ่งที่ใช่ตัวเอง และได้ตัดสินใจเอง จะขับเคลื่อนตัวเองไปได้ดี แต่ในการเรียนก็เหมือนการใช้ชีวิต มีหลายอย่างที่อาจไม่เป็นดังใจ เราอาจจะต้องเจอเรื่องที่น่าเบื่อบ้าง ต้องมีวิชาที่ไม่ใช่ตัวเราบ้าง ต้องมีสิ่งที่ฝืนบ้าง เหนื่อยบ้างซึ่งเป็นเรื่องปกติ

นอกจากนี้ อาจารย์ ดร.รับขวัญ ยังมีแง่คิดดี ๆ อีก 13 ข้อ ที่นักเรียนวัยเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยมักจะสงสัยกัน สามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.chula.ac.th/highlight/112848/

สุดท้ายนี้ สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถดูรายละเอียดเกณฑ์การรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ ดังนี้
หลักสูตรภาษาไทย (TCAS) : http://www.admissions.chula.ac.th/
หลักสูตรนานาชาติ : https://www.chula.ac.th/program-degree/bachelor/

RANDOM

นักศึกษาเทคนิคฉะเชิงเทรา โชว์กึ๋น ประดิษฐ์ “Wheelchair & Walker” อุปกรณ์ช่วยพยุงเดินผู้ป่วยกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซิวรองอันดับ 1 การประกวดสิ่งประดิษฐ์คนรุ่นใหม่ ปี 66

error: Content is protected !!