นักวิจัย มจธ. ผนึกกำลังเครือข่าย พัฒนาเครื่องหมายทางพันธุกรรมและฐานข้อมูลวิวัฒนาการ เพื่อการอนุรักษ์ประชากร-ถิ่นอาศัยของโลมาอิรวดี

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

พื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย เป็นหนึ่งในศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม กลุ่มวาฬ และโลมา 27 ชนิด ซึ่งมีบทบาทหน้าที่และบริการทางระบบนิเวศที่สำคัญในแง่ของการเป็นผู้กักเก็บ และหมุนเวียนธาตุอาหาร และคงความสมดุลของระบบนิเวศระดับกลุ่มของสิ่งมีชีวิต ในฐานะผู้บริโภคชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่สัตว์กลุ่มดังกล่าว กำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และกิจกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการติดและกินเครื่องมือประมง การเฉี่ยวชนกับเรือ การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ตลอดจนมลพิษทางทะเล “นำไปสู่การลดลงของประชากรขั้นวิกฤต จนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ คือ ประชากรโลมาอิรวดี ซึ่งการสูญหายไปของสัตว์ผู้ล่าชั้นบนสุดจะส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ”

ดร.วรธา กลิ่นสวาท อาจาย์ประจำคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี และ ศูนย์วิจัย Conservation Ecology ร่วมกับ นักศึกษาปริญญาโท นาย Trifan Budi มจธ. อาจารย์และหน่วยงานภาครัฐรวม 4 เครือข่าย คือ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬากรณ์มหาวิทยาลัย คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มจธ. และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ภายใต้โครงการ “การประเมินผลกระทบของกิจกรรมมนุษย์ต่อโครงสร้างประชากร และความหลากหลายทางพันธุกรรมของโลมาอิรวดี (Orcaella ฺbrevirostris) ในประเทศไทย และประเทศอินโดนีเซีย” ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยอาซาฮี ประจำปี 2563 สาขาสิ่งแวดล้อม (Environment)

เป้าหมายของการวิจัย คือ เพื่อประเมินว่าประชากรโลมาอิรวดีบริเวณชายฝั่งอ่าวไทย และแม่น้ำมหาคามในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มว่าลดลงอย่างต่อเนื่อง และอาจถูกตัดขาดจนเป็นหย่อมประชากร (Fragmented Population) มีความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลงหรือไม่ และมีปัจจัยทางสภาพแวดล้อมใดส่งผลต่อรูปแบบและช่วงเวลาแยกสายวิวัฒนาการเชิงภูมิศาสตร์ในอดีต โดยประยุกต์ใช้เทคนิคทางอณูชีววิทยาในการพัฒนาชุดเครื่องหมาย Mitochondrial Genome (Mitogenome) Primers และสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางพันธุกรรมสายแม่ และโครงสร้างทางพันธุศาสตร์ประชากรในอดีต ซึ่งฐานข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางพันธุกรรมระดับประชากร วางแผนลดภัยคุกคามและจัดการถิ่นอาศัย ตลอดจนพยากรณ์ผลกระทบของสภาพภูมิอากาศต่อโอกาสในการปรับตัวและอยู่รอด (Adaptive Potential) ในระยะยาว

ผลการวิจัยเบื้องต้น พบว่า ความหลากหลายทางพันธุกรรม Mitogenome ของประชากรโลมาอิรวดีในไทยสูงกว่าในอินโดนีเซีย และการวิเคราะห์โครงสร้างทางพันธุศาสตร์ พบว่า มีความแตกต่างระหว่างประชากรชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ตอนล่าง และประชากรในอินโดนีเซีย โดยการพบความหลากหลายทางพันธุกรรมระดับสูง และลักษณะทางพันธุกรรมเดียวกันที่แชร์ระหว่างประชากรภายในทะเลสาบสงขลา และประชากรชายฝั่งจังหวัดสงขลา สนับสนุนแนวคิดที่ว่า ยุคน้ำแข็งในอดีต ประชากรโลมาอิรวดีสามารถอพยพเคลื่อนย้ายระหว่างชายฝั่ง และทะเลสาบ ทำให้บรรพบุรุษของประชากรในอดีตมีขนาดใหญ่และสามารถรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมให้คงอยู่ จากนั้น เมื่อระบบน้ำจืดในอดีต (Palaeodrainage Systems) เอื้อต่อการอพยพเคลื่อนย้าย ประชากรส่วนหนึ่งอพยพจากทะเลสาบสงขลา-ชายฝั่งสงขลา มาสู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งประชากรในระบบนิเวศแม่น้ำมหาคาม ประเทศอินโดนีเซีย และในยุคน้ำแข็ง สมัยไพลสโตซีนช่วงปลาย (Late Pleistocene) ช่วงเวลาแยกสายวิวัฒนาการของประชากรแม่น้ำมหาคาม ราว ๆ สามแสนปีก่อน เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับการเริ่มแยกสายวิวัฒนาการของประชากรอ่าวไทยตอนบนและตอนล่าง ซึ่งการปรับตัวดังกล่าวอาจเป็นผลที่เกิดจากระดับน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงในยุคธารน้ำแข็ง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน้ำจืด

ในปัจจุบัน นักวิจัย คาดว่า ภัยคุกคามต่อประชากรภายในทะเลสาบสงขลา ซึ่งอาจถูกตัดขาดจากประชากรชายฝั่งไปแล้ว ประกอบกับการติดและกินเครื่องมือประมง อุบัติเหตุการเฉี่ยวชนกับเรือ การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ระดับเสียงรบกวนที่เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมการพัฒนา ทำให้ประชากรขนาดเล็กภายในทะเลสาบมีแนวโน้มที่มีการผสมพันธุ์แบบเลือดชิดภายในเครือญาติ อาจนำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม และลดโอกาสในการที่สัตว์จะปรับตัวและอยู่รอดในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น ภัยคุกคามทางพันธุกรรม อาจแสดงออกในรูปแบบของการที่ลูกที่เกิดมาอาจมีอัตรารอดต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรชายฝั่ง หรือประชากรของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ที่ไม่ได้มีสถานภาพเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ดังนั้น การสร้างเครือข่ายการวิจัยสัตว์ทะเลหายากที่เข้มแข็ง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านพันธุศาสตร์ นิเวศวิทยา และประชากรศาสตร์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการระบุปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเลือกใช้พื้นที่อาศัย และพยากรณ์แนวโน้มพฤติกรรมการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว

แต่เนื่องจากการเก็บตัวอย่างโลมาเกยตื้น อาศัยระยะเวลานาน และอาจไม่ทันท่วงทีต่อการสร้างฐานข้อมูล เพื่อให้ภาครัฐนำไปประกอบการวางแผนการฟื้นฟูประชากรและถิ่นอาศัย ดังนั้น ทีมวิจัยเดิม จึงอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องมือเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศ (Ecological Monitoring) เช่น การพัฒนาเทคนิคการตรวจจับ environmental DNA (eDNA) จากการสำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำภายในทะเลสาบสงขลา ชายฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทย เพื่อทำให้ทราบว่า กลุ่มโลมา วาฬ และพะยูน มีการใช้พื้นที่และกระจายตัวอยู่ตรงไหนบ้าง และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมใดที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในการตรวจจับ eDNA ของสัตว์กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยข้อดีของ eDNA คือ ไม่จำเป็นต้องพบเห็นตัวสัตว์โดยตรง สามารถประยุกต์ใช้กับการสำรวจสัตว์กลุ่มที่มีพื้นที่หากินกว้าง ความหนาแน่นต่ำ และอาจมีพฤติกรรมการหลบหลีก และไวต่อการรบกวน นำไปสู่การประเมินพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง (Biodiversity Hotspots) และการกำหนดพื้นที่สำคัญในการอนุรักษ์ (Conservation Priority Sites) เพื่อผลักดันมาตรการในการลดภัยคุกคามในพื้นที่ดังกล่าว เช่น การจัดระเบียบของเรือประมง การลดสิ่งกีดขวางการเคลื่อนที่และเครื่องมือทำการประมงผิดกฎหมาย รวมถึงการฟื้นฟูประชากรเหยื่อตามธรรมชาติของโลมา ซึ่งหากกระบวนการดังกล่าวสามารถดำเนินการอย่างเป็นระบบ และทันท่วงที จะทำให้แก้ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ดร.วรธา กล่าวทิ้งท้ายว่า งานวิจัยดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นในการจุดประกายเรื่องการอนุรักษ์โลมาอิรวดี และการรักษาระบบนิเวศชายฝั่งไม่ให้เสียสมดุล พร้อมทั้งยังเชื่อว่า เป้าหมายปลายทางของงานวิจัยนี้จะนำไปสู่ประโยชน์ในวงการพันธุศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย 1.ข้อมูลทางด้านพันธุศาสตร์ เมื่อนำไปผนวกกับนิเวศและประชากรศาสตร์ นักวิจัยจะสามารถดูภาพรวมและสถานภาพของประชากรว่าอยู่ในขั้นใกล้สูญพันธุ์มากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปสู่การจัดการด้านอื่น ๆ ได้ทันท่วงที 2.ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องการอุปการะโลมาอิรวดี เพื่อให้เกิดความหลากหลายของข้อมูลในระดับภูมิภาค อันนำไปสู่ความร่วมมือของนักวิจัยสัตว์ทะเลหายากในภูมิภาคอาเซียนในการทำงานร่วมกันในอนาคต รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนมาตรการลดภัยคุกคามเพื่ออนุรักษ์โลมาอิรวดีและสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมในระดับประเทศ และระดับภูมิภาค อย่างยั่งยืน

RANDOM

คุรุสภา เชิญชวนครูประถมศึกษา ส่งผลงานประกวดข้อเขียนเชิงวิชาการสู่การจัดการเรียนการสอน ในหัวข้อ “คุณค่าของสารานุกรมวิชาชีพครูสู่การจัดการเรียนการสอน” ส่งผลงานได้ ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 15 กรกฎาคม

อว. ร่วมกับ สวทช. และ สมาคมวิทยาศาสตร์ฯ จัดโครงการมอบรางวัล Prime Minister’s Science Award 2025 เพื่อเชิญชูเกียรติโครงงานวิทยาศาสตร์ของเยาวชน และครูวิทยาศาสตร์ เพื่อรับรางวัลตัวอย่างที่ดีด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ขยายเวลาส่งผลงานถึง 20 มิถุนายน นี้

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!