เด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก มจธ. ยกระดับนักศึกษาสู่ “นวัตกร” ผู้ขับเคลื่อนเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์ในศตวรรษที่ 21 ประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีและบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในโลก เช่น Tesla, BMW, Waymo, Baidu และ Volvo ต่างลงทุนมหาศาลในการพัฒนา “ยานยนต์ไร้คนขับ” ที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยอาศัยระบบต่าง ๆ ทั้งระบบเซ็นเซอร์, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), กล้อง และ ข้อมูลแผนที่ระดับสูง เพื่อเดินหน้าสู่ยุคที่ยานยนต์ไม่จำเป็นต้องมีคนขับอีกต่อไป ประเทศไทยก็ไม่ได้หยุดนิ่ง โดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หรือ มจธ. ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่มุ่งผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ด้วยพลังของนักศึกษารุ่นใหม่

รศ.ดร.เบญจมาศ พนมรัตนรักษ์ อาจารย์ที่ปรึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. กล่าวว่า ตนเองสนใจเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับมานานกว่า 10 ปี เพราะมองว่าเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะยกระดับศักยภาพของประเทศได้ “เราต้องการเป็น ‘ผู้สร้าง’ ไม่ใช่แค่ ‘ผู้ใช้’ เทคโนโลยีที่ต้องคอยพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น เชื่อว่าเด็กไทยเรามีศักยภาพ ถ้าได้รับโอกาสและการสนับสนุนที่ดีพอ พวกเขาก็จะสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างยานยนต์ไร้คนขับได้ด้วยเช่นกัน

จากความเชื่อและความมุ่งมั่นสะท้อนออกมาเป็น 2 ผลงานยานยนต์ไร้คนขับ ที่จัดแสดงในงาน Project Day 2025 ซึ่งเป็นงานแสดงผลงานนักศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. ผลงานชิ้นแรก คือ “LiDAR and Camera-Based Autonomous Vehicle Control System” เป็นผลงานการออกแบบและพัฒนาโดย นายณัฐวัฒน์ พลเสน, นายทวีศ บุญรอด และ นายภูมิธรรม ชัยภูมิ ที่ได้ศึกษาและทำความเข้าใจกลไกพื้นฐานของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบการขับเคลื่อนอย่างคันเร่ง พวงมาลัย และเบรก อย่างละเอียด จากนั้นจึงได้พัฒนาส่วนควบคุมรถที่ใช้ LiDAR (การตรวจจับระยะทางด้วยแสง), GPS และ เซ็นเซอร์หลากหลายชนิด มาทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ การบังคับพวงมาลัยและเบรกถูกควบคุมอย่างแม่นยำด้วยเซอร์โวมอเตอร์ที่ทำงานตามโค้ดที่พวกเขาเขียนขึ้นเองทั้งหมด เพื่อให้รถกอล์ฟสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไร้คนขับ

“เราไม่อยากใช้ของสำเร็จรูป เพราะอยากรู้ว่ามันทำงานยังไงตั้งแต่พื้นฐาน” ทวีศ กล่าวเน้นถึงความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขณะที่ ภูมิธรรม กล่าวเสริมถึงความท้าทายในการออกแบบระบบเบรกอัจฉริยะว่า “ผมออกแบบให้คอมพิวเตอร์สั่งเบรกแทนเท้า ถ้าระบบเจอสิ่งกีดขวาง รถจะหยุดเองทันที” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคิดค้นและแก้ปัญหาเชิงวิศวกรรมที่ซับซ้อน

ผลงานชิ้นที่สอง คือ “Vision-Based Navigation For Autonomous Golf Cart” เป็นผลงานของ นางสาวมัทรียาภรณ์ มั่นคง, นายกฤติน พรอยู่ศรี และ นายฐปนศมน ธาราดล ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่พวกเขากล้าที่จะตั้งคำถามที่ท้าทายต่อขีดจำกัดของเทคโนโลยี “ถ้าไม่มีเซ็นเซอร์ราคาแพง เราจะทำให้รถขับเองได้ไหม? คำถามนี้ทำให้พวกเราพัฒนาระบบนำทางอัตโนมัติที่ใช้เพียงกล้อง 4 ตัว ร่วมกับ GPS กล้องแต่ละตัวทำหน้าที่เสมือน “ดวงตา” ที่จับภาพถนนและสิ่งกีดขวาง ก่อนจะส่งข้อมูลให้ AI ประมวลผลเพื่อตัดสินใจในการขับเคลื่อนรถไม่ว่าจะเลี้ยวหรือเบรกได้ด้วยตัวเอง” กฤติน เล่าถึงคำถามที่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงงาน

“ตอนที่เราสอน AI เราใช้ภาพจากสภาพแวดล้อมจริงในมหาวิทยาลัย เพื่อให้ระบบเรียนรู้และแยกแยะรูปลักษณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ได้” มัทรียาภรณ์ อธิบายเพิ่มเติม ด้าน ฐปนศมน กล่าวเสริมว่า “ระบบจะคำนวณระยะทางและควบคุมการเคลื่อนที่ของรถตามเส้นทางที่กำหนด โดยใช้ ROS2 ในการเชื่อมโยงข้อมูล และ Arduino สั่งงานระบบเบรกและพวงมาลัย”

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าความสำเร็จในการทำให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไร้คนขับ คือ กระบวนการเรียนรู้ที่นักศึกษาทั้งสองทีมได้รับ ไม่ใช่แค่โปรเจกต์จบ หรือโครงงานส่งท้ายภาคเรียน แต่เป็นการบ่มเพาะทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความอดทน และการเรียนรู้จากความล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งที่ห้องเรียนทั่วไปให้ไม่ได้

การทำโครงงาน ทักษะที่พวกเขาได้ คือ ความอดทน และ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งสำคัญมากและเรียนรู้ได้ยากในห้องเรียน เราพยายามให้นักศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อน ถ้าเจอทางตันก็จะค่อย ๆ ให้คำแนะนำเพื่อจุดประกายให้พวกเขาได้ลองผิดลองถูกและเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยไม่บอกคำตอบ แต่สิ่งที่เราเน้นย้ำเสมอ คือ เด็กทุกคนไม่ได้เดินคนเดียว เราจะอยู่ข้าง ๆ อย่ากลัวที่จะล้มเหลว ลุกขึ้นมาใหม่ด้วยกันได้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่การสร้างรถที่วิ่งเองได้ แต่เป็นการสร้างบุคลากรที่มีทักษะ เป็นคนที่ล้มแต่พร้อมจะลุกขึ้นมาด้วยตัวเองและพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง

แม้โครงงานนี้จะยังไม่ได้วิ่งบนถนนจริง หรือไปไกลถึงเวทีระดับโลก แต่สิ่งที่เด็กไทยกลุ่มหนึ่งได้ลงมือทำ คือ การเรียนรู้และสร้างเทคโนโลยีที่ซับซ้อนด้วยตัวเอง และนี่คือก้าวสำคัญสำหรับประเทศไทยที่ต้องการก้าวขึ้นเป็น “ผู้สร้าง” ไม่ใช่แค่ “ผู้ซื้อ” เทคโนโลยีจากต่างประเทศ “เพราะถ้าเราทำแค่ซื้อ ประเทศก็จะมีแต่คนที่ประกอบได้ แต่จะไม่มีคนที่คิดเป็น หรือพัฒนาต่อยอดเองได้เลย เราจะเสียทั้งโอกาสและคนเก่งในอนาคต” รศ.ดร.เบญจมาศ กล่าว และเน้นย้ำว่า การสร้างคนสำคัญไม่แพ้การสร้างเทคโนโลยี และนั่นคือเป้าหมายหลักของโครงการ

RANDOM

สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานสมุทรสาคร เปิดรับสมัครฝึกอบรมภาษาต่างประเทศ ฟรี 5 หลักสูตร เพื่อรองรับการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ รับจำนวน 8 รุ่น รุ่นละ 20 คน ผู้สนใจสมัครด่วน

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!