KOSEN KMUTT แหล่มบ่มเพาะบุคลากรชั้นแนวหน้า ตัวอย่างการพัฒนาการศึกษาที่ตอบโจทย์อนาคต พลังความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง ซึ่งสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในอนาคต และเพื่อตอบโจทย์นี้ โครงการโคเซ็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KOSEN KMUTT) จึงได้ถูกริเริ่มขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากระบบการศึกษาญี่ปุ่น มุ่งสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี ผ่านกระบวนการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ โครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 ด้วยความร่วมมือกับ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (JICA Thailand Office) เพื่อผลิตวิศวกร นักเทคโนโลยี และนวัตกรสำหรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ กิจกรรม “KOSEN Thailand ODA Press Tour” ได้จัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางขุนเทียน) โดยมี นางคาวามูระ มากิ ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ นายซัทชึยะ ซูซูกิ ผู้อำนวยการ JICA Thailand Office พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชน เข้าร่วมชมความก้าวหน้าของโครงการในโอกาสเฉลิมฉลองความร่วมมือ 70 ปี สำหรับโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนา (ODA) ระหว่างไทยและญี่ปุ่น

(ซ้าย) นางคาวามูระ มากิ (กลาง) รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย (ขวา) นายซัทชึยะ ซูซูกิ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. กล่าวว่า โครงการ KOSEN KMUTT เป็นตัวอย่างของการพัฒนาระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นการเตรียมคนให้พร้อมสำหรับความต้องการในอนาคต นักเรียนของเราจะไม่เพียงแต่มีความรู้ในเชิงวิชาการ แต่จะมีทักษะที่สามารถปรับใช้ในสถานการณ์จริงได้ และจากผลงานที่ได้เห็นจะสะท้อนถึงศักยภาพของนักเรียนไทยที่พร้อมจะก้าวสู่การเป็นผู้นำในยุคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

ด้าน นายซัทชึยะ ซูซูกิ ผู้อำนวยการ JICA Thailand Office กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี ของความร่วมมือในโครงการนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มุ่งมั่นสร้างนักศึกษาที่มีความรู้และทักษะที่ยอดเยี่ยม ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่สร้างผลลัพธ์ที่น่าภาคภูมิใจ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจที่สะท้อนถึงศักยภาพของการทำงานร่วมกันระหว่างไทยและญี่ปุ่น ทางด้าน นางคาวามูระ มากิ ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ยังได้เน้นย้ำว่า โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับมาตรฐานการศึกษาในไทย แต่ยังเสริมสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยั่งยืนระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

ขณะที่ ดร.ก้องกาญจน์ วชิรพนัง ผู้อำนวยการสำนักงานห้องเรียนวิศว์-วิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ KOSEN KMUTT ไม่ได้มุ่งหวังแค่ผลิตนักเรียนที่มีความรู้ทางวิชาการ แต่ยังเน้นสร้างบุคลากรที่มีความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง หลักสูตรของ KOSEN KMUTT ผสมผสานการเรียนรู้จากหลากหลายสาขาวิชา เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และ วิศวกรรมศาสตร์ พร้อมนำระบบ Project-Based Learning มาใช้ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการทำโครงการจริงที่เชื่อมโยงกับปัญหาในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ผ่าน 3 หลักสูตร คือ 1. วิศวกรรมอัตโนมัติ (Automation Engineering) 2. หลักสูตร Bio Engineering และ 3. SMART Agri Engineering

“เราต้องการสร้างคนที่สามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมในอนาคตได้จริง ไม่ใช่แค่การสอนทฤษฎี แต่ยังให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ เพื่อเรียนรู้วิธีคิดและวิธีแก้ปัญหาจากโจทย์จริงของประเทศและภาคอุตสาหกรรม ตัวอย่างหนึ่งในความท้าทายที่เราเห็นในปัจจุบัน คือ การที่ประเทศไทยมีศักยภาพด้านความหลากหลายทางชีวภาพสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งมีความต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในกระบวนการชีวภาพมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง และยกระดับสู่ภาคอุตสาหกรรม จึงมีหลักสูตรวิศวกรรมชีวภาพ (Bio Engineering) ขึ้น ซึ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการชีวภาพและการแปรรูปทรัพยากรชีวภาพให้เป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ชีวเภสัชภัณฑ์ ยาชีววัตถุ และ สารตั้งต้นที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นเดียวกับ หลักสูตร SMART Agri Engineering ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรของไทยให้ตอบสนองต่อความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการอาหารรูปแบบใหม่ โดยเน้นการเรียนรู้ผสมผสานทั้งศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก การผลิตพืช ควบคู่ไปกับ ศาสตร์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ การใช้ระบบอัตโนมัติ และวิทยาศาสตร์ข้อมูล ในการสร้างผลผลิตมูลค่าสูง และอาหารเฉพาะกลุ่ม ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่จะช่วยเสริมความรู้และทรัพยากรวิจัย เพื่อสร้างความยั่งยืนในภาคเกษตรกรรมร่วมกัน ผมเชื่อว่า หลักสูตรเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ “ ดร.ก้องกาญจน์ กล่าวถึงความสำคัญและผลกระทบจากหลักสูตร KOSEN KMUTT

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ คือ ระบบการฝึกงานที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง โดยนักเรียนจะได้ฝึกงานในรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม (Work Integrated Learning, WiL) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4-6 เดือน ภายใต้การดูแลของอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทต่าง ๆ ระบบนี้จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้จากสถานที่ทำงานจริง พร้อมกับการพัฒนางานวิจัยและพัฒนาไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในโลกของการทำงานยุคใหม่

โครงการ KOSEN KMUTT เป็นตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาการศึกษาที่ตอบโจทย์อนาคต ผ่านความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น โครงการนี้ไม่เพียงเน้นการสร้างบุคลากรที่มีความรู้เชิงวิชาการและทักษะการปฏิบัติ แต่ยังเชื่อมโยงการเรียนรู้กับปัญหาในภาคอุตสาหกรรมจริง ด้วยระบบฝึกงานและหลักสูตรที่ออกแบบมาเฉพาะ ความร่วมมือดังกล่าวตอกย้ำถึงศักยภาพของการพัฒนาคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างความก้าวหน้าและความยั่งยืนให้กับประเทศไทยในระดับโลก

RANDOM

ไอบ้าประกาศแยกทางกับ IOC ด้วยการสั่งห้ามคนของตนเองร่วม “การจัดการมวยสากลในโอลิมปิกเกมส์ 2024” อย่างเด็ดขาด “ประธานผู้ตัดสินโลกชาวไทย” ไพบูลย์ ศรีชัยสวัสดิ์ คิดต่างมุม จึงตัดสินใจอำลาแล้ว

รัฐบาลญี่ปุ่น ร่วมกับ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จัดประกวดภาพยนตร์สั้น หัวข้อ “สิ่งที่ฉันต้องการ” ในโครงการ JENESYS 2023 คัดเลือกตัวแทนเยาวชนไทยไปร่วมกิจกรรม ที่เมืองมินามิอาวาจิ จ.เฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่น

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!