ทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมโยธา สจล. ลงพื้นที่สำรวจจุดเกิดเหตุโครงสร้างสะพานยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบัง พังถล่ม คาดสาเหตุจากอุปกรณ์ตัวร้อยคานคอนกรีต (Launcher) รับน้ำหนักไม่ไหว จึงพลิกตัว

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

ทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ประกอบด้วย รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี รศ.สุพจน์ ศรีนิล รองอธิการบดีด้านกายภาพ สิ่งแวดล้อม และทรัพย์สิน และ ทีมงาน ลงพื้นที่สำรวจจุดเกิดเหตุ กรณีสะพานยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบัง พังถล่ม บริเวณหน้าโลตัสลาดกระบัง ถนนหลวงแพ่ง แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 10 ราย รถและอาคารพาณิชย์เสียหาย คาดการณ์สาเหตุมาจากลวดสลิงขาด อุปกรณ์ตัวร้อยคานคอนกรีต หรือ ลอนเชอร์ (Launcher) รับน้ำหนักไม่ไหว จึงพลิกตัว ทำให้พื้นทางคอนกรีตที่อยู่ระหว่างการติดตั้งหลุดจากหัวเสาตอม่อถล่มลงมา

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 66 เวลา 18.08 น. ช่วงที่คนเลิกงานกำลังเดินทางกลับบ้าน ในที่เกิดเหตุเป็นโครงการก่อสร้างทางยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบัง ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.2567 ได้พังครืนทั้งตัวคานและเสาทรุดลงมาจากความสูงประมาณ 20 เมตร ทำให้เศษซากคอนกรีต โครงเหล็ก ตัวคาน เสาหล่นทับรถที่ผ่านไปมาบริเวณถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง ได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้การจราจรติดขัดเป็นพื้นที่กว้างจากการพังถล่มเป็นทางยาวกว่า 300 เมตร เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเข้าตัดกระแสไฟฟ้า และเคลียร์สายไฟ เพื่อให้รถเครนสามารถเข้าไปเคลียร์พื้นที่

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) เป็นสิ่งที่หน่วยงานรัฐและเอกชนทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปฏิบัติตามหลักวิศวกรรมความปลอดภัย เพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนภาพลักษณ์อันดีของประเทศไทย เหตุการณ์แบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้น สาเหตุที่แน่ชัดของสะพานพังถล่มที่ย่านลาดกระบัง ยังต้องรอการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จากการคาดการณ์เบื้องต้น สาเหตุความเป็นไปได้ มีหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดจากตัวโครงเหล็กที่ยึดกับตอม่อสะพานเอียง แล้วล้มลงไปทางด้านซ้าย ทำให้ตัวโครงสร้างเหล็กสีฟ้า ที่เรียกว่า ‘ลอนเชอร์’ (Girder Launcher Crane) ที่ใช้ร้อยคานคอนกรีต ซึ่งทำหน้าที่นำเอาคานคอนกรีตหลายชิ้นมาต่อเรียงกันแล้วร้อยเข้าด้วยกันด้วยลวดสลิง ขณะกำลังดึงลวดสลิงนั้น เกิดเสียงดังลั่นคล้ายระเบิด จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีลวดเส้นใดเส้นหนึ่งขาด แล้วเกิดแรงสั่นไหว ทำให้ตัวร้อยคานคอนกรีต (Girder Launcher Crane) ซึ่งตั้งอยู่บนหัวเสาสะบัดแรงพลิกตัวหักลง และด้วยน้ำหนักที่มาก ส่งผลให้ตอม่อทั้ง 2 ข้างบิดรุนแรง โดยชุดหนึ่งโค่นลง และ ตอม่ออีกชุดหนึ่งฉีกขาดออกจากกัน ทำให้โครงสร้างคานคอนกรีตที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์พังทลายลงมา

ด้าน รศ. สุพจน์ ศรีนิล รองอธิการบดีฝ่ายกายภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพย์สิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ความจำเป็นเร่งด่วนขณะนี้ คือ การประเมินความปลอดภัยของโครงสร้างที่ได้รับความเสียหายมาก เพื่อมิให้เกิดการพังถล่มต่อเนื่อง ข้อควรระมัดระวังในการเคลียร์พื้นที่ตอนนี้ คือ สะพานลงมาอยู่ที่ชั้นพื้นดินแล้ว ห้ามคนเข้าไป ต้องเอาผู้เชี่ยวชาญมาตัดตัวสะพานเป็นชิ้น ๆ แล้วค่อยยกออก ถึงจะดำเนินการต่อไปได้ ส่วนการตรวจสอบหาสาเหตุในรายละเอียดที่ต้องทำ เช่น ควรตรวจสอบการเสริมเหล็กกับคอนกรีต เนื่องจากในการออกแบบ ต้องออกแบบเผื่อ ‘การบิดตัว’ ซึ่งการบิดตัวที่กล่าวถึง เกิดจากตัวสะพานไม่อยู่ในจุดศูนย์กลาง แต่เบี่ยงไปทางซ้าย พอเบี่ยงไปทางซ้าย ทำให้ตอม่อบิดไปด้วย จนเกิดการขาดของตอม่อ หลังจากนี้ต้องมีการตรวจสอบว่า อุปกรณ์เครื่องมือไม่มีความพร้อมหรือไม่ เพราะปกติการก่อสร้างสะพานก็ใช้วิธีนี้ เป็นวิธีการทั่วไป แต่เพราะอะไรโครงยึดถึงเอียงตัวได้ อาจต้องไปตรวจสอบถึงการดีไซน์เสาตอม่อเสริมเหล็กเป็นอย่างไร เพราะขาดหลุดไปเลย ความบางความหนาไม่เกี่ยวกัน ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของการเสริมเหล็ก สำหรับการตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารที่อยู่อาศัยโดยรอบ ต้องใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 2 – 3 สัปดาห์

ส่วนข้อสังเกตเรื่องชั้นดินนั้น รศ. สุพจน์ ศรีนิล อธิบายว่า เสาเข็มที่รับตอม่อเป็นเข็มยาว 60 เมตร ถึงชั้นดินแข็ง เรื่องการบกพร่องของเข็มโดยทั่วไป จะมีการทดสอบก่อน แม้โอกาสที่จะเกิดปัญหาที่ชั้นดินมีน้อย แต่ก็ต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกเช่นกัน ทั้งนี้ ยังเป็นการวิเคราะห์เบื้องต้นและคาดการณ์ตามหลักวิศวกรรมเท่านั้น

ขณะที่ ผศ. ดร. อาทิตย์ เพชรศศิธร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกายภาพ สิ่งแวดล้อมและทรัพย์สิน สจล. กล่าวสรุปถึงข้อเสนอแนะจาก สจล. ว่า หน่วยงานภาครัฐที่เป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ควรดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง โดยให้ผู้รับจ้างปฏิบัติตามแผนปฏิบัติงานความปลอดภัยในการก่อสร้าง และควรต้องรายงานผลการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยดังกล่าวให้กับเจ้าของโครงการรับทราบตามรอบระยะเวลาที่กำหนด ในขณะที่ ผู้ประกอบการ หรือ ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานความปลอดภัยในการทำงานอย่างละเอียด และชัดเจน มีวิศวกรควบคุมงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างนั้น ๆ ประจำอยู่ในสถานที่ก่อสร้างตลอดระยะเวลาที่มีการก่อสร้าง และควรจัดฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานให้กับพนักงานทุกคนอย่างสม่ำเสมอ

RANDOM

“ทุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์” เรียนต่อป.ตรี หลักสูตรไทย-อินเตอร์ ด้านการโรงแรม ที่วิทยาลัยดุสิตธานี ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2567 รอบที่ 2 (ทั่วไป) ยื่นใบสมัครขอรับทุนได้ถึง 15 ธ.ค.นี้

NEWS

สอศ. ร่วมกับ ศูนย์ CLEC เปิด ‘ห้องปฏิบัติการภาษาจีนระดับอาชีวศึกษาแห่งแรกของโลก’ ที่วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี หนุนสร้างแรงงานคุณภาพสมรรถนะสูง รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย-จีน

กระทรวงพาณิชย์ เชิญชวนนักออกแบบ ผู้ประกอบการ สมัครเข้าร่วมโครงการรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยม ปี 2567 ‘Design Excellence Award 2024’ (DEmark) จุดพลัง สร้างสรรค์งานดีไซน์ อย่างยั่งยืน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 3 มิถุนายน 2567

error: Content is protected !!