“นวัตกรรมการออกแบบ” อินเตอร์ มจธ. ส่งนศ.ร่วมงานบริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลก เรียนรู้จากประสบการณ์จริงรายแรกของไทย

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

โปรแกรม DIPS หรือ Design Innovation Practice School” หลักสูตรนานาชาติ สาขานวัตกรรมการออกแบบ ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกสาขาวิชาที่สนใจอยากเรียนการออกแบบ หรืออยากเป็นนักออกแบบมืออาชีพ โดยไม่เน้นว่านักศึกษาจะต้องวาดรูปเก่ง แค่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมีทักษะด้านภาษาอยู่บ้าง ก็สามารถมาเรียนได้ ที่สำคัญเป็นหลักสูตรที่ “ไม่มีสอบ” วัดผลจากผลงานเพียงเท่านั้น แถมได้ไปทำงานจริงรับโจทย์จริงกับบริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลกเป็นระยะเวลากว่า 30 เดือน หรือ 2 ปีครึ่ง หลังเปิดการเรียนการสอนมากว่า 1 ปี ปัจจุบันมีนักศึกษารุ่นแรกทั้งสิ้นจำนวน 24 คน (นักศึกษาไทย 20 คน, ฟิลิปปินส์ 1 คน กัมพูชา 2 คน และอินเดีย 1 คน)

เพราะ DIPS เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Experiential Learning Platform การเรียนเสมือนการทำงานในชีวิตจริงที่แรกในประเทศไทย ล่าสุด นักศึกษารุ่นแรกของหลักสูตร กำลังเตรียมตัวเข้าสู่การทำงานจริง ด้วยโจทย์จริงกับ Partnership บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Jacob Jensen Design (JJD) สตูดิโอออกแบบผลิตภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติเดนมาร์ก, FOURDIGIT Thailand บริษัทชั้นนำด้านการออกแบบ UX/UI จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้ง 2 แห่งมีสาขาอยู่ในประเทศไทย และ Whatnot บริษัทผู้ให้คำปรึกษาทางด้านธุรกิจและนวัตกรรมสำหรับการทำสตาร์ทอัพของประเทศไทย ภายในเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งมีระยะเวลาในการทำงานถึง 30 เดือน หรือ 2 ปีครึ่ง เมื่อจบแล้วอาจยังได้รับโอกาสทำงานกับบริษัทต่อไป หลักสูตรจึงต้องเตรียมทุกอย่างและพยายามปรับพื้นฐานให้กับเด็กให้พร้อมและมีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ พร้อมเรียนรู้การเป็นมืออาชีพ หรือ professional มากที่สุด เพื่อให้นักศึกษาเข้าไปเรียนรู้ผ่านการทำงานจริงในบริษัทได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นที่สุด ความพร้อมจึงเป็นจุดแรกที่หลักสูตรเตรียมให้กับนักศึกษา โดยเฉพาะวิธีคิด หรือ soft skills

การสอนของ DIPS เป็นการสอนแบบ Learn how to learn เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ และสอนให้เห็นทุกขั้นบันไดทุกวิชาแบบผสมผสานไปพร้อม ๆ กัน ผ่านการทำ workshop เพื่อให้นักศึกษาได้เห็นได้เรียนรู้ภาพใหญ่ก่อนภายใน 6 เดือนแรก

“การสอนแบบ Learn how to learn เช่น เรามี Workshop ที่ว่าด้วยเรื่องการอ่านหนังสือ เน้นการสร้างทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เราพยายามหาหนังสือที่หลากหลายองค์ความรู้ ทั้งเล่มเก่า เล่มใหม่ ให้เขาได้อ่าน เพื่อเป็นความรู้ เห็นวิวัฒนาการ เห็นความหลากหลาย สอดคล้องกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง ไม่ได้อ่านเพื่อสอบ ตอนแรกนักศึกษาอาจยังไม่เข้าใจว่าให้อ่านทำไมถ้าไม่มีสอบ พยายามถามว่าเราจะออกข้อสอบตรงไหน ถามเรื่องไหนเป็นพิเศษ จะได้เน้นอ่านที่เรื่องนั้น ซึ่งนักศึกษาจะต้องปรับทัศนคติในการอ่านหนังสือใหม่ว่า การอ่านหนังสือมากเราก็จะรู้มากขึ้น แม้ความรู้ที่อ่านวันนี้อาจยังไม่ได้ใช้โดยตรง แต่ความรู้เหล่านี้จะเป็นองค์ประกอบในการสร้างความสามารถในการเรียนรู้ และทำความเข้าใจสิ่งใหม่ในชีวิต หนังสือไม่ได้มีไว้อ่านจบแล้วทิ้ง วันไหนที่ต้องการอ่านอีก คุ้น ๆ ว่าเคยอ่านเรื่องนี้ ใครเคยพูดเคยทำงานแบบนี้ ก็หยิบมาอ่านทบทวนใหม่ได้”

หรือ ตัวอย่าง Design Thinking Workshop ที่เด็กกำลังทำอยู่ในตอนนี้ ไม่ได้เป็นวิชาที่หลักสูตร กำหนดไว้ตายตัว แต่เราอยากให้นักศึกษาได้เรียนรู้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการทำงานร่วมกันกับผู้คนที่หลากหลายพื้นฐานความรู้ ความเชี่ยวชาญ ซึ่งโจทย์ที่ให้ก็ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกันว่าจะหยิบเคสไหนมาให้เรียน และนักศึกษาได้มีส่วนร่วมด้วย คลาสนี้นักศึกษาตัดสินใจต้องการโจทย์แบบเอ็กซ์ตรีม สนใจกลุ่มคนที่เป็นยูทูปเปอร์ หรือสกิมเมอร์ ดังนั้น เวลาที่นำ Design Thinking Workshop มา Apply นักศึกษาจะได้ทดลองกระบวนการทำความเข้าใจพฤติกรรม และความต้องการในเชิงลึกจริง ๆ ของลูกค้า ไม่ใช่แค่เข้าไปดูใน Google แล้วนำมาอ้างอิงเท่านั้น แต่จะต้องสามารถ Decode ข้อมูลอธิบายแนวคิดได้ และอาจารย์จะไม่พยายามฟันธงโดยใช้ประสบการณ์ตนเอง แต่หากจะพยายามกระตุ้นให้นักศึกษาทำความเข้าใจทั้งลึกและกว้าง จนกระทั้งนักศึกษาคิดว่าตัวเองมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ” ผศ.นิมิต เหม่งเวหา อาจารย์ประจําหลักสูตร DIPS คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. กล่าว

ขณะที่ ผศ.พรยศ ฉัตรธารากุล หัวหน้า Center of Innovation for Society และอาจารย์ประจําหลักสูตร DIPS กล่าวเสริมว่า หลักสูตร DIPS ไม่มีหนังสือเรียนเฉพาะที่ตายตัว ไม่มี Final Project และการเรียนการสอนของเราก็ไม่มีการสอบ แต่จะมีการกิจกรรมที่ชวนนักศึกษามา challenge กัน ไม่ได้มุ่งที่การทำให้ดีที่สุดหรือแข่งขันกันว่าใครได้ก่อน เร็วกว่า เก่งกว่า แต่เป็นการ Challenge ให้นักศึกษาทะลุข้อจำกัดในการเรียนรู้ของตนเองมากกว่า “เราคิดว่าเรารู้ลึกแล้ว แต่วันต่อมาเราก็รู้ลึกได้อีก” และใช้การประเมินแบบมีส่วนร่วมว่านักศึกษามีความสามารถเพิ่มอย่างไร สามารถอธิบายความแตกต่าง และความลึกของความสามารถที่เพิ่มขึ้นได้ ส่วนเนื้อหานอกจากที่กำหนดไว้ตามตารางแล้ว หากมีเนื้อหาใดที่นักศึกษาต้องการเรียนรู้ เช่น วิชาสถิติ ซึ่งปกตินักศึกษาออกแบบจะไม่สนใจ เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่พอนักศึกษาได้เรียนในรูปแบบใหม่ของ DIPS ที่นักศึกษาจะทำงานไป โดยไม่อิงการเรียนการสอนแบบรายวิชา พอรู้ตัวเองว่าต้องการความรู้เรื่องสถิติเพิ่ม เพื่อให้ Project มีความสมบูรณ์ ไม่ใช้แค่ทำ Project เสร็จ นักศึกษาก็เริ่มขอให้สอน โดยไม่รอให้ถึงเวลาเรียน เราก็จะเชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญมาสอนให้ก่อน เป็นต้น

ในส่วนการทำงานของนักศึกษานั้น ผศ.พรยศ กล่าวว่า เนื่องจากจะต้องทำงานกับบริษัทภายใต้หลักสูตรฯ ซึ่งจะได้รับมอบหน้าที่ที่ชัดเจน นักศึกษาจะต้องพัฒนางานที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทจนกระทั่งครบ 30 เดือน หรือ 2 ปีครึ่ง นอกจากนักศึกษาจะได้มีส่วนร่วมในผลงานที่ทำ ยังได้รับหนังสือรับรองประสบการณ์การทำงานจากทางบริษัทด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากการเป็นนักศึกษาฝึกงานที่มีระยะเวลาเพียง 1-3 เดือน ใช้ช่วงปิดเทอมหรือปีสุดท้าย ที่สำคัญนักศึกษาจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะจะมีอาจารย์ประจำที่มีประสบการณ์ทำงานมาร่วมเสริมความรู้เชิงวิชาการ และคำอธิบายเพิ่มเติมให้กับนักศึกษาด้วย เรียกว่าเข้าไปคอยประสานงานอย่างใกล้ชิดกับทั้งนักศึกษาและบริษัท อีกทั้งขณะที่ทำงานนักศึกษายังต้องจัดหาเวลากลับมาทำ International Activities ไม่ว่าจะเป็น Workshop, Exchange Program เป็นต้น ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ เพื่อเสริมองค์ความรู้ใหม่ ๆ พัฒนาทักษะการทำงานในมิติต่าง ๆ ร่วมกับ นักศึกษา อาจารย์ นักออกแบบจากประเทศต่าง ๆ ให้กับนักศึกษาตลอดระยะเวลาการทำงานในสัดส่วนร้อยละ 20

ในฐานะตัวแทนนักศึกษารุ่นแรก นางสาวศุภวดี จีรพันธ์เจริญสิน หรือ น้อง Love อายุ 19 ปี จากเด็กสายศิลป์ภาษาเกาหลี โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เล่าถึงการตัดสินใจมาเรียนหลักสูตร DIPS ว่า สาเหตุที่เลือกเรียนในโปรแกรมนี้ เพราะชอบงานออกแบบ จากตอนแรกสมัครเรียนในแผนการเรียนปกติ แต่ที่ตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนแผนการเรียน DIPS เพราะเห็นว่าเป็นหลักสูตรใหม่เพิ่งเปิดสอน และมีสาขาที่ชอบ ที่สำคัญ คือ ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ผ่านการทำงานจริงด้วย ไม่ใช่แค่การฝึกงานระยะสั้น ซึ่งทางคุณแม่ก็เห็นชอบด้วยค่ะ

“หลังจากเรียนมากว่า 6 เดือน ไม่ได้รู้สึกว่า เรียนหนักห่ามรุ่งห่ามค่ำ แม้จะไม่เคยเรียนรูปแบบนี้มาก่อน จากปกติจะเรียนเป็นรายวิชา ไม่ใช่เรียนหลาย ๆ วิชาร่วมกันในคลาสเดียว แบบ DIPS พอมาเรียนแล้วทำให้เนื้อหาต่อเนื่อง ที่ชอบที่สุด คือ การเรียนที่นี่ไม่มีการสอบ แต่จะประเมินวัดผลจากพัฒนาการของตัวเอง ส่วนตัวรู้สึกชอบกับวิธีการประเมินแบบนี้ เพราะการที่ไม่มีสอบ เราไม่ต้องคอยมาท่องจำเพื่อทำข้อสอบ ทำให้ไม่ต้องรู้สึกเครียดกับการเรียน และมีความสุขที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา คิดว่าการเรียนในลักษณะนี้เหมาะสมกับยุคสมัยใหม่”

สิ่งที่ได้พัฒนาขึ้น น้อง Love บอกว่า “เป็นวิธีการคิดที่เปลี่ยนไป ทำให้เราเข้าใจเรื่องการออกแบบมากขึ้น ทำให้เข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนจะชอบงานออกแบบของเรา จากเดิมที่เคยคิดเพียงแต่ว่าการออกแบบจะต้องสวย ต้องทำให้คนอยากซื้อเท่านั้น แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะการออกแบบจริงๆ แล้ว ไม่ได้มุ่งเน้นที่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจพฤติกรรมและรู้ถึงความต้องการของผู้ใช้ก่อน คิดไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหา เกิดกระบวนการคิดที่มากขึ้น เช่น ต้องดูว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะพัฒนาชีวิตของผู้ใช้ได้อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตอนนี้การออกแบบของเรามีคุณภาพขึ้น และตนก็คาดหวังว่าจะได้ทำงานจริง ๆ กับบริษัทออกแบบผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก อย่าง Jacob Jensen Design Studio (JJD) ซึ่งถือเป็นข้อดีของการเรียนโปรแกรม DIPS ที่เราจะได้ทำงานจริง ๆ กับบริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลก ที่เป็น Partnership ไม่ใช่แค่เด็กฝึกงานเท่านั้น ทำให้เรามีประสบการณ์ชีวิตในการทำงานจริง”

สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ที่มีใจรักการออกแบบ และงานสร้างสรรค์นวัตกรรม ฝันอยากเป็นนักออกแบบ หรือสร้างนวัตกรรมมืออาชีพ แต่วาดรูปไม่เก่ง ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ขอแค่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษ หลักสูตร DIPS เปิดรับสมัครผู้ที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทุกสายวิชา ทั้งสายวิทย์ และสายศิลป์ ผู้ที่สนใจติดต่อโดยตรงได้ที่ ผศ.พรยศ ฉัตรธารากุล โทร. 085-073-4488 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://dipskmutt.com/

RANDOM

อพวช. ชวนนักวิทย์ นักคิด นักวิจัย มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราว ความประทับใจ ความงามที่เกิดขึ้นในงานด้านวิทยาศาสตร์ ผ่านการประกวดภาพทางวิทยาศาสตร์ Image of Science “วิจิตร วิจัย” ประจำปี 2567 ชิงเงินรางวัลรวม 50,000 บาท หมดเขตสมัครและส่งผลงาน 31 ก.ค. นี้

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!