ตอนที่ 1 บทนำ : อุดมการณ์โอลิมปิกของคูเบอร์แต็ง : แปลโดย ดร.นิพัทธ์ อึ้งปกรณ์แก้ว

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

     ปิแอร์ เดอ คูเบอร์แต็ง (Pierre de Coubertin) เป็นที่รู้จักจากนานาชาติด้วยความสำเร็จในการรื้นฟื้นโอลิมปิกเกมส์ในรูปแบบสมัยใหม่แต่มุมมองสรุปนี้ต่อคูเบอร์แต็งก็เพิ่งปรากฎไม่นานนี้

บทความพิเศษชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ค.ศ.1908 นำเสนอคูเบอร์แต็งในฐานะ‘นักปฏิรูปการศึกษาฝรั่งเศสที่น่ายกย่อง’โดยไม่กล่าวถึงงานของเขาในการฟื้นฟูโอลิมปิกเกมส์ตราบจนคริสต์ทศวรรษ 1930 ชื่อเขาก็ยังคงปรากฎในสารานุกรมของประเทศต่างๆเฉพาะในสาขาการศึกษาเท่านั้น

ภาคแรกของฉบับนี้คือ‘การเปิดเผย’แสดงถึงอุดมคติและมิติการศึกษาของกีฬาของคูเบอร์แต็งในรูปแบบต่างๆที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตนเองโดยอุดมการณ์โอลิมปิกได้ปรากฎขึ้นในประวัติพัฒนาการของแนวคิดทั่วไปของปรัชญาและการศึกษาซึ่งทำให้ภาคสองคือ‘มิติต่างๆของโอลิมปิก’มีความสำคัญยิ่งต่อกรอบสาระของฉบับนี้โดยเหตุที่สิ่งพิมพ์จำนวนมากก่อนหน้าก่อให้เกิดมุมมองหลากหลายจึงมีการเรียกร้องต่อการทำความชัดเจนให้ปรากฎด้วยเอกสารที่ชัดแจ้ง

จากมุมมองเชิงประวัตินี้ทำให้ทราบว่าขั้นตอนเช่นนี้นำไปสู่การยอมรับโอลิมปิกเกมส์ทุกสี่ปีในฐานะจุดสูงสุดของโลกกีฬาและทำให้การเล่นกีฬาเกิดขึ้นได้ซึ่งมีต้นกำเนิดจากบริบทเฉพาะของประเทศอังกฤษและแพร่หลายไปยังนานาชาติตลอดคริสต์ศตวรรษยี่สิบ

การแสวงหาความเป็นสากลคือหนึ่งในเหตุผลหลายประการที่ทำให้โอลิมปิกเกมส์รักษาไว้ซึ่งความแข็งแกร่งและความน่าสนใจต่อชีวิตของพวกเราโดยเหตุนี้งานนิพนธ์ต่างๆที่นำเสนอในภาคสองจึงเป็นภาพสะท้อนกีฬานานาชาติในคริสต์ศตวรรษยี่สิบเช่นกัน

เนื้อหาส่วนนี้เริ่มต้นด้วยแนวคิดการปฏิรูปการศึกษาของคูเบอร์แต็งและย้ำทวนแผนปฏิบัติต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อจะนำเสนอวิวัฒนาการทางมโนทัศน์ของอุดมการณ์โอลิมปิกของคูเบอร์แต็งในหลายรูปแบบโดยมุ่งเน้นในสามมิติกล่าวคือ

– มิติประวัติ

– มิติปรัชญาและการศึกษา

– มิติโครงสร้างองค์กร

ด้วยการพิจารณาลักษณะนี้ จะมีเพียงมุมมองโอลิมปิกเท่านั้นที่ทำให้งานนิพนธ์เหล่านี้มีความโดดเด่นจากเนื้อหาวิชาการด้านกีฬาของภาคแรกโดยนับประมาณได้ร้อยละสามสิบของงานนิพนธ์ทั้งหมดของคูเบอร์แต็งในภาคสองนี้พวกเราได้รวบรวมบทความ 98 ชิ้นที่มีความหลากหลายเป็นอย่างมากทั้งรูปแบบและความยาวโดยบทความเหล่านี้มีจำนวนเกือบร้อยละสามสิบของ‘งานนิพนธ์โอลิมปิก’ของคูเบอร์แต็งซึ่งประกอบด้วยบทความหนังสือพิมพ์และวารสารเนื้อหาประกอบของงานสะสมและส่วนของหนังสือต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงสุนทรพจน์จำนวนมากซึ่งได้รับการจัดพิมพ์ภายหลังอยู่บ่อยครั้ง

นอกเหนือจากสิ่งพิมพ์แล้ว เนื้อหาส่วนนี้ประกอบด้วยจดหมายเวียนที่เขียนโดยคูเบอร์แต็งซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิกนานาชาติ (IOC) ในขณะนั้นคำถามสำคัญต่างๆของยุทธศาสตร์โอลิมปิกได้ถูกตั้งขึ้นภายในจดหมายเหล่านี้โดยได้รับการขยายความและประกอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับงานนิพนธ์อื่นของตัวเขาเองแม้ด้วยลักษณะความเป็นทางการของจดหมายเวียนนี้และจำนวนคนที่ได้รับจะจำกัดก็ตามแต่ก็มีความเหมาะสมในการจัดเก็บเนื่องเพราะสามารถเปรียบได้กับสิ่งพิมพ์อื่นของคูเบอร์แต็งในด้านลีลาและเนื้อหา

ทั้งนี้บทความมิติประวัติมีจำนวน 68 ชิ้น มิติปรัชญาและการศึกษามีจำนวน49 ชิ้นมิติโครงสร้างองค์กรมีจำนวน 21 ชิ้น รวมอีก3 ชิ้นเกี่ยวกับเมืองโลซานน์ในฐานะเมืองโอลิมปิกและ6ชิ้นที่เหลือเป็นมุมมองทั่วไป

ผู้อ่านในปัจจุบันอาจพบว่าภาคสอง‘มิติต่างๆของโอลิมปิก’ค่อนข้างเป็นประวัติ แต่กระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่าในฐานะประธาน IOC นั้นคูเบอร์แต็งต้องหยิบจับประเด็นในขณะนั้นที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิกเกมส์ โดยหากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจะพบเสมอว่า พวกเราสามารถมองข้ามมิติประวัติเพื่อเข้าใจประเด็นต่างๆที่ยุทธศาสตร์โอลิมปิกกำลังถกเถียงในปัจจุบัน ความพลาดพลั้งบางประการอาจหลบเลี่ยงได้ด้วยการศึกษาประสบการณ์ในอดีต

คำพรรณนาส่วนใหญ่ของรายการโอลิมปิกจะเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาต่างๆของประวัติร่วมสมัยข้อเสนอแนะต่างๆสำหรับการปรับปรุงการรณรงค์โอลิมปิกคำวิพากษ์ต่อความผิดที่เกิดขึ้นและการร้องขอต่อความร่วมมือในระดับสูงขึ้นที่โดยบ่อยครั้งจะปรากฎขึ้นในที่ประชุมซึ่งคูเบอร์แต็งจะแสดงพรสวรรค์ในการพูดต่อสาธารณะเพื่อนำเสนอวัตถุประสงค์ด้านโอลิมปิกแก่ผู้ฟังจำนวนมากของเขาได้อย่างน่าเชื่อถือที่จะกระตุ้นให้พวกเขาลงมือปฏิบัติ บทความของบท4‘มิติประวัติของอุดมการณ์โอลิมปิก’ได้รับการถ่ายทอดตามลำดับเวลาซึ่งสะท้อนการต่อสู้ยาวนานนับทศวรรษที่คูเบอร์แต็งมีความมุ่งมั่นต่อความเห็นของตนเองอัตชีวประวัติของเขาในระหว่าง ค.ศ.1887-1908 ใช้ชื่อที่สื่อความหมายมากคือ ‘A Twenty-One Year Campaign’ (Paris 1909) และพวกเราตัดสินใจบรรจุ ‘Olympic Memoirs’ ในฉบับนี้เนื่องด้วยอัตชีวประวัติในช่วงท้ายชีวิตของเขาจะช่วยเติมเต็มช่องว่างบางส่วนของมิติประวัติโอลิมปิกของพวกเรา

ภาคสอง ‘มิติต่างๆของโอลิมปิก’ นำเสนอจุดสำคัญของความสนใจหลักเกี่ยวกับเนื้อหาของส่วนนี้ โดยบทนำนี้ ข้าพเจ้าจะพยายามให้ความกระจ่างในภาพรวมของงานนิพนธ์ด้วยการพรรณนาคูเบอร์แต็งและความทุ่มเทต่อโอลิมปิกผ่านพัฒนาการของมิติประวัติซึ่งบ่อยครั้งที่ไม่สามารถจะแยกออกจากมิติปรัชญา โดยทั่วไปแล้ว งานนิพนธ์เกือบทั้งหมดของคูเบอร์แต็งเกี่ยวข้องกับอุดมการณ์โอลิมปิกในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (WW I) ด้วยเหตุผลความจำเป็นในช่วงเวลานั้นซึ่งจะต้องนำพายุทธศาสตร์โอลิมปิกในช่วงจัดตั้งและต้องการความพิถีพิถันที่สุด คูเบอร์แต็งเป็นกรรมการผู้จัดการและบรรณาธิการวารสารของ IOC คือ Revue Olympique ซึ่งถูกใช้อยู่บ่อยครั้งเพื่อชี้แจงแผนงานต่างๆสำหรับอุดมการณ์โอลิมปิกของเขา

ในการกำกับวารสารสำคัญฉบับดังกล่าวเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของเขา คูเบอร์แต็งได้แสดงออกถึงเจตนารมย์แน่วแน่ในการทำงานตามแผนงานที่วางไว้และพรสวรรค์ของเขาในฐานะนักประชาสัมพันธ์

ในระหว่างและภายหลัง WW I นั้น ประเด็นต่างๆเกี่ยวกับการจัดองค์กรมีความสำคัญน้อยกว่ากีฬาศึกษาและอุดมการณ์โอลิมปิก ซึ่งงานนิพนธ์ของคูเบอร์แต็งที่เป็นรากฐานของอุดมการณ์โอลิมปิกก็ปรากฎในช่วงเวลานี้ โดยถูกนำเสนอในบท 5.1 ‘อุดมการณ์โอลิมปิกโดยทัศนคติจิตวิญญาณ’ ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงงานนิพนธ์เหล่านี้อีกครั้งในช่วงท้ายของบทนำนี้

            ประเด็นของอุดมการณ์สมัครเล่นและบทบาทของศิลปศาสตร์ต่ออุดมการณ์โอลิมปิกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเหตุนี้ พวกเราจึงคัดเลือกสามเกณฑ์สำคัญต่อการเข้าใจแนวคิดอุดมการณ์โอลิมปิกของคูเบอร์แต็ง อุดมการณ์สมัครเล่นของโอลิมปิกได้กลายเป็นต้นทุนสำคัญของยุทธศาสตร์โอลิมปิกมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม หากคูเบอร์แต็งพิจารณาถึงอุดมคติโอลิมปิกแล้ว แนวคิดของอุดมการณ์สมัครเล่นที่สมบูรณ์ก็นับเป็นความสำคัญรองลงมาสำหรับตัวเขา ในทางตรงกันข้าม เขาทุ่มเทต่อความสมานฉันท์ซึ่งนำพานักกีฬาและผู้ชมต่างๆสู่ดุลยภาพของปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของการกีฬาและศิลปะ

  หัวข้อหลากหลายเกี่ยวกับประวัติองค์กรและโครงสร้างของอุดมการณ์โอลิมปิกถูกจัดกลุ่มรวมกันในหัวข้อ 6 ‘ยุทธศาสตร์โอลิมปิก’ โดยเริ่มต้นด้วยบทความด้านโครงสร้างของ IOC และการเติบโตของยุทธศาสตร์โอลิมปิกในมิติรูปแบบองค์กรและการขยายขอบเขตของภูมิศาสตร์ ทั้งนี้ การนำเสนอเนื้อหาเป็นไปตามลำดับเวลาบรรยายประวัติโอลิมปิกที่ยึดโยงองค์ประกอบเหล่านี้ขององค์กรซึ่งเติมเต็มเนื้อหาบท 4.2 ด้วย

บทความห้าชิ้นในบท 6.3 แสดงแนวคิดโดยรวมของคูเบอร์แต็งต่อกีฬาโอลิมปิกหลายชนิดโดยบทความหกชิ้นกล่าวเจาะจงถึงกีฬาโอลิมปิก ซึ่งเกณฑ์คัดเลือกของพวกเรามีความเข้มงวดมากเนื่องเพราะคูเบอร์แต็งเขียนบทความจำนวนมากเกี่ยวกับกีฬามากมาย โดยบทความเหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์รวมกันในภาคสามของฉบับภาษาฝรั่งเศสที่เกี่ยวข้องกับการเล่นกีฬาบางชนิด

เนื้อหาของภาคนี้ปิดท้ายด้วยบทความสองชิ้นเกี่ยวกับกิจกรรมโอลิมปิกต่างๆในเมืองโลซานน์

แม้งานนิพนธ์ของคูเบอร์แต็งจะหลงเหลืออยู่จำนวนมาก แต่เขาเองก็ไม่ได้เสนอความเห็นต่อประเด็นสำคัญจำนวนมากในปัจจุบัน โดยการเมืองโลกหลัง WWII นำเสนอปัญหาใหม่ๆ ความซับซ้อนและความสัมพันธ์ซ่อนเงื่อนที่ล้วนเริ่มปรากฎต่อสายตาของคูเบอร์แต็งซึ่งอำลาโลกใน ค.ศ.1937 โดยบางหัวข้อเช่น การบรรจุศิลปะในบริบทของโอลิมปิกเกมส์ปรากฎอยู่บ่อยครั้งในงานนิพนธ์ของเขา ซึ่งเป็นภารกิจในฐานะนักการศึกษาที่จะกล่าวถึงหลักพื้นฐานอยู่ตลอดเวลาด้วยความหวังที่จะได้รับความเข้าใจและปฏิบัติตาม

วิสัยทัศน์โอลิมปิกของคูเบอร์แต็ง

ในขณะนี้ ขอให้พวกเราตามรอยโอลิมปิกในระยะต่างๆในชีวิตของคูเบอร์แต็งซึ่งพิจารณาในฐานะผู้จัดกิจกรรมต่างๆ ความเพียรพยายามในการอธิบายและส่งเสริมอุดมการณ์ให้เป็นที่เข้าใจ รวมทั้งการเรียกร้องนับครั้งไม่ถ้วน แผนงานและข้อเขียนต่างๆที่ตอกย้ำความเป็นนักสู้ในอุดมคติและนักการศึกษาตัวแบบ

พวกเราได้มอบพื้นที่จำนวนมากของหนังสือฉบับนี้แก่มิติประวัติของอุดมการณ์โอลิมปิกเนื่องเพราะมุมมองเหล่านี้สะท้อนแก่นความคิดและงานนิพนธ์ต่างๆของคูเบอร์แต็ง ซึ่งไม่ขัดแย้งต่อคำแถลงต่างๆเกี่ยวกับปรัชญาและการศึกษาอุดมการณ์โอลิมปิกของคูเบอร์แต็ง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเงื่อนไขของสิ่งดังกล่าว (อ่านหัวข้อ 5)

คูเบอร์แต็งพิจารณาประวัติศาสตร์ในฐานะ “จุดเริ่มของวิทยาศาสตร์ทั้งปวงในประเด็นความสำคัญและประสิทธิผลทางการศึกษา” และมีแต่ประวัติศาสตร์เท่านั้นที่ทำให้คูเบอร์แต็งสามารถจัดวางอุดมการณ์โอลิมปิกในบริบทประวัติศาสตร์และประกันถึงความสำเร็จ

วัฒนธรรมกรีกนิยมของคูเบอร์แต็งคือ ผลผลิตองค์ความรู้ประวัติศาสตร์กับแรงบันดาลใจต่อเยาวชนของเขา นอกเหนือจากบัญญติแรกแห่งศรัทธาว่าด้วย “ความเคารพต่อนานาประเทศ” แล้ว เขาก็เพิ่มเติมว่า ในการเคารพต่อประเทศหนึ่ง บุคคลต้องเข้าใจและการจะเข้าใจ ก็ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น

อย่างไรก็ตาม พื้นที่นี้ก็ไม่เหมาะสมในการประเมินความนิยมประวัติศาสตร์ของคูเบอร์แต็งหรือการประมาณค่าของงานประวัติศาสตร์ของเขา

บทความสองสามชิ้นถัดไป แสดงความลุ่มลึกในความรู้ของเขาด้านประวัติกรีกโบราณและสมัยใหม่ สำหรับคูเบอร์แต็งแล้ว “ไม่มีสิ่งใดจะเป็นที่เข้าใจหรือเปิดเผยได้โดยปราศจากประวัติศาสตร์”

ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจสุดสำหรับคูเบอร์แต็งคือ แนวคิดของโอลิมปิกเกมส์ซึ่งเขาได้รับจากบาทหลวงแครอน (Carron) ครูสอนวิชามนุษยวิทยาที่โรงเรียนเยซูอิตในกรุงปารีส พวกเราไม่ทราบถึงวันที่แน่ชัดซึ่งคูเบอร์แต็งมีเจตนารมณ์ในการรื้อฟื้นโอลิมปิกเกมส์สำหรับความเป็นนานาชาติของการกีฬา อย่างไรก็ตาม สุนทรพจน์ของเขาในการปิดประชุมสภา ค.ศ.1894 ได้กล่าวถึงความหวังที่เขามีความสุขมากว่าสิบปี

เมื่อคูเบอร์แต็งอายุยี่สิบปีใน ค.ศ.1883 เขาคิดถึงประเทศฝรั่งเศสของตนเองสำหรับแผนงานปฏิรูปการศึกษาต่างๆโดยนึกถึงประเทศกรีซในการค้นหาตัวแบบสากลเพื่อรณรงค์กีฬาในประเทศฝรั่งเศส การฟื้นฟูเมืองโอลิมเปียด้านการเมือง กีฬา และศาสนาคือรากฐานการดำเนินงานของเขา

การขุดค้นทางโบราณคดีของเมืองโอลิมเปียระหว่าง ค.ศ.1875 และ 1881 ส่งผลใหญ่หลวงต่อคูเบอร์แต็งซึ่งเขาเขียนถึงอย่างกระตืนรือร้นเกี่ยวกับวัฒนธรรมกรีกนิยม โดยบันทึกในหนังสืออัตชีวประวัติ ‘A Twenty-One Year Campaign’ ว่า “เยอรมนีได้ส่องสว่างสิ่งหลงเหลือของเมืองโอลิมเปีย แล้วเหตุใดฝรั่งเศสจึงไม่ควรจะรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของเมืองนี้เล่า?”

การค้นพบทางโบราณคดีของเมืองโอลิมเปียพร้อมด้วยการขุดพบอื่นๆที่น่าตื่นเต้นในประเทศกรีซและเอเชียไมเนอร์นั้น ดูเหมือนจะมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อความคิดของคูเบอร์แต็งในวัยเยาว์ ราว ค.ศ.1890 สิ่งค้นพบเกี่ยวกับเมืองโอลิมเปียและโอลิมปิกเกมส์โบราณมีอะไรบ้าง?

แม้เทศกาลโอลิมปิกได้สิ้นสุดลงใน ค.ศ.393 แต่ความทรงจำและความหมายของเกมส์กลับไม่สูญหายไป10 ย้อนกลับถึงยุคกลางนั้น บันทึกจำนวนมากได้กล่าวถึงเมืองโอลิมเปียและโอลิมปิกเกมส์ โดยงานสำคัญชิ้นแรกโดยตรงกับโอลิมปิกเกมส์ปรากฎในเมืองกรอนิงเง็น (Groningen) ค.ศ.1732 โดยแอนโทนิเดส (Th. Antonides) และก่อน ค.ศ.1723 นั้น เบนารด์ เดอ มงฟูคง (Benedictine Bernard de Montfaucon ชาวฝรั่งเศส) ได้เสนอแผนการขุดค้นเมืองโอลิมเปีย ต่อมาใน ค.ศ.1776 ริชาร์ด แชนเดลอร์ (Richard Chandler ชาวอังกฤษ) ได้พบซากปรักของวิหารแบบโดริคขนาดใหญ่ที่เมืองโอลิมเปียซึ่งภายหลังได้รับการบ่งชี้ว่าคือ วิหารซูสที่โด่งดัง อย่างไรก็ตาม การขุดค้นอย่างเป็นระบบก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นด้วยข้อจำกัดทางเทคนิคและการเงิน

สงครามอิสรภาพของกรีซอุบัติขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษสิบเก้า (ระหว่างเทศกาลอีสเตอร์ ค.ศ.1821) เพื่อตอบสู้การยึดครองของชาวเติร์กในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมา สงครามสิ้นสุดด้วยการทำลายล้างกองกำลังเติร์กจากกำลังทหารยุโรปที่เมืองไพลอส ค.ศ.1827 เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งกีดขวางชาวเยอรมันผู้วางแผนการขุดค้นต่างๆ ใน ค.ศ.1829 นักโบราณคดีได้ติดตามกองกำลังรักษาความสงบฝรั่งเศสในการขึ้นฝั่งเปโลปอนนิส (Peloponnese) และเริ่มการขุดค้นเบื้องต้นโดยโบราณวัตถุต่างๆล้วนถูกจัดส่งไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟ (Louvre) ในกรุงปารีส

            ระยะเวลายี่สิบปีผ่านพ้นไปก่อนที่เอิร์น คอร์ติส (Ernst Curtis นักประวัติศาสตร์กรีกชาวเยอรมัน) จะจัดการบรรยายอันโด่งดัง ณ กรุงเบอร์ลิน เกี่ยวกับเมืองโอลิมเปียในการขุดค้นใหม่อีกครั้งซึ่งเริ่มต้นในเดือนมกราคม ค.ศ.1852  

อย่างไรก็ตาม ต้องใช้เวลาอีกยี่สิบปีก่อนการลงนามข้อตกลงระหว่างกรีซและเยอรมนีสำหรับการขุดเมืองโอลิมเปียอย่างเป็นระบบโดยนักโบราณคดีเยอรมันใน ค.ศ.1875-1881 ความกระหายใคร่รู้ของการขุดค้นเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นในเยอรมนี วัฒนธรรมกรีกนิยมที่พบในสถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรีและมนุษยนิยมคลาสิกได้เชื่อมโยงจิตใจของชาวเยอรมันและชาวกรีกอย่างแนบแน่น ในประเทศฝรั่งเศส รูปแบบยุคโบราณได้ปรากฎขึ้นจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษสิบแปดและได้รับความนิยมในทศวรรษสุดท้ายของยุคก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส (Ancien Regime) โดยมีชื่อทั่วไปว่า รูปแบบหลุยส์ที่สิบหก (Louis XVI) ทั้งนี้ กระแสนิยมคลาสิกของการปฏิวัติและจักรวรรดิ์ได้ยกระดับกระแสนิยมเหล่านี้ที่สอดคล้องกับคริสต์ศตวรรษสิบเก้า ประมาณหนึ่งร้อยปีต่อมา ความรู้สึกต่อวัฒนธรรมกรีกนิยมของคูเบอร์แต็งแสดงถึงความเข้มแข็งของภาพลักษณ์เหล่านี้ที่ปรากฎในกลุ่มคนร่วมแนวคิดเดียวกัน

คูเบอร์แต็งตระหนักถึงเกียรติภูมิของประวัติกรีกรวมทั้งเมืองโอลิมเปียโบราณที่ได้รับจากชุมชนเรียนรู้ด้านอุดมคติคลาสิกของคริสต์ศตวรรษสิบเก้า โดยเขาสังเกตถึงความสนใจที่มีต่อแพนเฮเลนิกเกมส์ (Panhellenic Games) ของเมืองโอลิมเปียและเดลฟิซึ่งได้รับการขุดค้นจากชาวเยอรมันและฝรั่งเศส การมุ่งทิศยุทธศาสตร์ของเขาสู่เป้าหมายต่างๆที่เทศกาลเก่าแก่ได้สร้างแรงบันดาลใจนั้น เป็นการประกันถึงเกียรติภูมิของเทศกาลนี้ต่อผู้คนที่ไม่คุ้นเคยกับการกีฬา ความดึงดูดต่อความเก่าแก่สร้างกระแสแก่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปและช่วยสร้างสมานฉันท์ระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังช่วยปลุกความสนใจต่อโลกใหม่เช่นกัน ในการชุบชีวิตกลับสู่รากเหง้าร่วมกันของวัฒนธรรมตะวันตกนั้น คูเบอร์แต็งได้ขจัดความสงสัยของผู้คนในเวลานั้นซึ่งมีความเป็นชาตินิยมที่จะปักใจว่า เขาเป็นชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง หรือในกรณีอื่น หากเขาดำเนินการในอีกรูปแบบหนึ่ง เขาก็อาจถูกเข้าใจผิดว่า มีความมุ่งมาดปรารถนาต่อเป้าหมายชาตินิยม

กล่าวโดยแท้แล้ว แนวคิดของ “โอลิมปิกเกมส์” ไม่เคยสูญหายอย่างสิ้นเชิงและคูเบอร์แต็งเองก็ได้กล่าวย้ำในบทความของตนใน ค.ศ.1896 โดยเขาหวนคิดถึงเทศกาลท้องถิ่นซึ่งถูกจัดขึ้นที่สวนสาธารณะชอมป์ดูมาร์ส (Champ de Mars) ในกรุงปารีส (ภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส) และเทศกาลต่างๆที่เกิดขึ้นในเมืองต่างๆของกรีกภายใต้ชื่อเรียกสมัยโบราณ

และอาจเป็นไปได้ในระหว่างการเดินทางสู่อเมริกาใน ค.ศ.1889 ที่แผนงานของเขาสำหรับโอลิมปิกเกมส์สมัยใหม่จะได้รับการกระตุ้นจากการประชุมกับนักประวัติศาสตร์คือ วิลเลียม เอ็ม สโลน (William M. Sloane ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน)

            “โอลิมปิกเกมส์” ท้องถิ่นในเมืองเล็กแห่งหนึ่งชื่อ มัชเว็นล็อก (Much Wenlock) ทางตอนเหนือของอังกฤษมีความใกล้เคียงสุดกับแผนการรื้นฟื้นโอลิมปิกเกมส์โบราณของคูเบอร์แต็งซึ่งติดต่อกับ ดร.วิลเลียม เพนนี บรูคส์ (Dr William Penny Brookes ครูและนายแพทย์) ผู้ก่อตั้งเกมส์เหล่านี้ใน ค.ศ.1850 และประธาน Oympian Society ท้องถิ่น โดยคูเบอร์แต็งเดินทางไปที่เมืองมัชเว็นล็อกใน ค.ศ.1890 และได้กล่าวถึงเกมส์เหล่านี้ในบทความที่ตีพิมพ์ซ้ำในฉบับนี้ด้วย ดร.บรูคส์แจ้งคูเบอร์แต็งเกี่ยวกับงานกีฬาแห่งชาติที่จัดขึ้นในกรุงเอเธนส์ภายใต้ชื่อ “โอลิมปิกเกมส์” ค.ศ.1859,1870,1875,1888/89 โดย ดร.บรูคส์ ได้จัดรางวัลสำหรับรายการกีฬาเหล่านี้ในรูปของถ้วยรางวัลเงิน

ในวารสาร Greater Britain ค.ศ.1891 จอห์น แอสเลย์ คูเปอร์ (John Astley Cooper ชาวอังกฤษ) ได้เสนอการจัด “Anglo-Saxon Olympiad” เป็นประจำด้วยสาขาหลากหลายเช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปะและกีฬา ซึ่งเป็นไปได้ว่า คูเบอร์แต็งอาจได้รับแรงบันดาลใจจากข้อเสนอนี้

ช่วงเวลานั้นกำลังเหมาะสม เนื่องจากความเป็นนานาชาตินิยมทางสังคมและวัฒนธรรมในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษสิบเก้าทำให้ความเป็นสากลของการกีฬาเป็นข้อสรุปที่ไร้ข้อโต้แย้ง การค้นพบและการพัฒนาคมนาคมและการสื่อสารต่างๆเอื้ออำนวยต่อกระแสดังกล่าว สื่อมวลชนค้นพบว่า การกีฬาคือหัวข้อที่ได้รับความนิยม งานแสดงสินค้านานาชาติกระตุ้นการเปรียบเทียบระหว่างประเทศต่างๆ

โดยเหตุดังนั้น คูเบอร์แต็งจึงพร้อมที่จะนำเสนอแนวคิดของการรื้อฟื้นโอลิมปิกเกมส์ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในการบรรยายสรุปเรื่องการกีฬาสมัยใหม่ ณ อาคารซอร์บอนน์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1892 ในครั้งนี้ คูเบอร์แต็งได้นำสู่ปลายทางอุดมคติซึ่งไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่ปฏิบัติได้เท่านั้น โดยมีนัยถึงดุลยภาพในอดีตกาลระหว่างร่างกายและจิตใจซึ่งระบบการศึกษาตะวันตกได้หลงลืมภายหลังการล่มสลายของวัฒนธรรมโบราณ คูเบอร์แต็งมีความชื่นชมในประวัติศาสตร์โดยบุรพกาลจะช่วยนำทางหากปัจจุบันกาลจะมีความประสงค์เช่นนั้น

ความสำคัญเร่งด่วนประการแรกของคูเบอร์แต็งคือ แนวคิด “สันติภาพระหว่างประเทศ” โดยในงานนิพนธ์ระยะแรกของเขานั้น ได้กล่าวถึงการแข่งขันกีฬานานาชาติในลักษณะ “ความร่วมมือทางการค้าในอนาคต” (หน้า 297) และนักกีฬาที่เข้าร่วมคือ “ฑูตสันติภาพ” และแม้ว่าเขาจะไม่ขยายความมากนักระหว่างการจัดตั้ง IOC ใน ค.ศ.1894 เพื่อไม่ต้องการเรียกร้องมากเกินไปต่อนักกีฬาหรือทำให้นักสันติภาพนิยมต้องตื่นตระหนก แต่ด้วยแนวคิดต่างๆด้านสันติภาพ คูเบอร์แต็งจึงได้เชื่อมโยงพันธกิจด้านจริยธรรมซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์โอลิมปิกทั้งในอดีตและปัจจุบันซึ่งต้องนำไปสู่การเมืองศึกษาเพื่อการบรรลุผล โดยคูเบอร์แต็งพยายามจุดประกายความเป็นนานาชาตินิยมด้วยการปลูกฝังความเป็นชาตินิยมที่ไม่สุดโต่งเมื่อก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษยี่สิบ

การรณรงค์โอลิมปิกของคูเบอร์แต็ง (ค.ศ.1894-1914)

ข้อเสนอเบื้องต้นของการรื้อฟื้นโอลิมปิกเกมส์นี้ ไม่ได้รับความเข้าใจจากผู้รับฟังบางส่วน ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมของสาธารณชนสำหรับแนวปฏิบัติใหม่ แต่คูเบอร์แต็งก็ไม่ล้มเลิก โดยโอกาสมาถึง ณ การประชุมนานาชาติที่จัดโดยสหภาพสมาคมกีฬาแห่งชาติฝรั่งเศส (U.S.F.S.A) ซึ่งมีเป้าประสงค์ต่อการสร้างบรรทัดฐานร่วมของความเป็นสมัครเล่นของสมาคมกีฬาในฝรั่งเศสและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมสัมพันธภาพของนักกีฬานานาชาติ ในฐานะเลขาธิการของ U.S.F.S.A คูเบอร์แต็งได้กำหนดวาระด้านการกีฬาไว้ด้านหน้าและวางการรื้อฟื้นโอลิมปิกเกมส์ไว้ด้านหลังซึ่งแม้จะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในใจของคูเบอร์แต็ง ทั้งนี้ เขาเปิดเผยเป้าหมายแท้จริงในช่วงท้ายสุดด้วยการกำหนดหัวข้อใหม่กล่าวคือ “การประชุมนานาชาติ ณ กรุงปารีส เพื่อสถาปนาโอลิมปิกเกมส์”

ในการประชุมเตรียมการต่างๆช่วงปลายปี ค.ศ.1893 ที่มหานครนิวยอร์กและต้นปี ค.ศ.1894 ที่กรุงลอนดอน คูเบอร์แต็งได้ร้องขอในเรื่องนี้ต่อผู้นำกีฬาชาติต่างๆและแม้ด้วยความพยายามดังกล่าวนี้ ผู้อำนวยการจำนวนหนึ่งยังคงสงสัยต่อแผนงานโอลิมปิกของคูเบอร์แต็งใน ค.ศ.1894 อย่างไรก็ตาม ผู้แทนจำนวน 78 ท่านของ 37 สหภาพกีฬาจาก 9 ประเทศได้ลงคะแนนเห็นชอบต่อการสถาปนาโอลิมปิกเกมส์ พวกเขาบรรลุข้อตกลงในวิธีการสู่เป้าหมายและรับรองรายนามสมาชิกที่จะจัดตั้งคณะกรรมการนานาชาติแห่งโอลิมปิกเกมส์ ตามคำแนะนำของคูเบอร์แต็ง

ประเทศกรีซไม่ประสงค์ที่จะพลาดการได้รับเกียรติของประเทศแรกในการจัดโอลิมปิกเกมส์สมัยใหม่และทำให้ผู้แทนต่างๆเสนอการจัดโอลิมปิกเกมส์ใน ค.ศ.1896 โดยไม่รองานแสดงสินค้าโลก ค.ศ.1900 ณ กรุงปารีส ในวาระนี้ ผู้แทนกรีกคือ ดิมิเทรียส บิเคราส (Dimitrios Bikelas นักวรรณกรรมที่อาศัยในกรุงปารีส) ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการนานาชาติที่เพิ่งเลือกตั้งนี้ในฐานะตัวแทนประเทศเจ้าภาพ โดยคูเบอร์แต็งในตำแหน่งเลขาธิการก็ปฏิบัติแผนงานต่างๆของเขาด้วยความทุ่มเทและแรงบันดาลใจ สิ่งนี้มีความจำเป็นเนื่องจากการต่อต้านอย่างเข้มแข็งที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศกรีซต่อการจัดโอลิมปิกเกมส์ด้วยเหตุผลต่างๆทางการเงิน

ท้ายสุดแล้ว ภารกิจก็ประสบผลสำเร็จ โอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกของยุคสมัยใหม่ได้รับการจัดในกรุงเอเธนส์ ค.ศ.1896 ความสำเร็จใหญ่หลวงนี้ทำให้ประเทศกรีซมองว่า โอลิมปิกเกมส์คือสินทรัพย์เชิงประวัติศาสตร์ของตนเองและมีความประสงค์ให้โอลิมปิกเกมส์เกิดขึ้นบนแผ่นดินตนเองตลอดกาล

สิ่งที่คูเบอร์แต็งประสบผลกลับได้รับความสนใจน้อยมากในประเทศกรีซ ด้วยเกียรติภูมิชาติ จึงละเลยชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งผู้ให้กำเนิดรายการยิ่งใหญ่นี้ นับเป็นครั้งแรกของประเทศกรีซตั้งแต่การได้รับเอกราชใน ค.ศ.1829 ที่สามารถแสดงออกถึงความรุ่มรวยของโอลิมปิกเกมส์และเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาโลก อย่างไรก็ตาม คูเบอร์แต็งไม่ละทิ้งหลักการของเขาโดยโอลิมปิกเกมส์ต้องเปลี่ยนสถานที่จัดซึ่งเป็นไปตามการยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากที่ประชุมสมาชิก IOC ในกรุงเอเธนส์ บทความหลายชิ้นในภาคนี้เชื่อมโยงรายละเอียดของข้อโต้แย้งนี้

ขั้นตอนแรกของการรื้อฟื้นโอลิมปิกเกมส์ได้แล้วเสร็จ โอลิมปิกเกมส์ครั้งถัดไปถูกกำหนดให้จัดขึ้นในกรุงปารีส ค.ศ.1900 คำถามสำหรับคูเบอร์แต็งและเหล่าสมาชิก IOC คือ ภารกิจในระหว่างเกมส์ งานควรหยุดชะงักหรือไม่? คณะกรรมการควรสิ้นสุดลงหรือไม่? สถานการณ์นี้เปิดโอกาสสู่ความปรารถนาในการจัดประชุมสภาโอลิมปิก (Olympic Congress) ณ เมืองลูอาวา (Le Havre) ค.ศ.1897 ภายในหนังสือ Olympic Memoirs นั้น คูเบอร์แต็งเสนอเหตุจำเป็นแก่คณะกรรมการดังนี้ “ณ กรุงเอเธนส์ ความพยายามทั้งหมดได้รวมศูนย์ที่ภารกิจด้านกีฬาในบริบทเชิงประวัติศาสตร์ โดยไม่มีการประชุมสภา ไม่มีการประชุมทั่วไป และไม่มีสัญลักษณ์ใดของเป้าประสงค์ด้านการศึกษาหรือจริยธรรม การเดินหน้าสู่ทิศทางนั้นในทันทีภายหลังโอลิมปิกเกมส์จะเป็นการย้ำเตือนผู้คนถึงแนวคิดของข้าพเจ้าเชิงปรัชญาและการศึกษา และการวางบทบาทตั้งแต่เริ่มต้นของ IOC นอกเหนือจากสมาคมกีฬาทั่วไปแห่งหนึ่ง”

ในระหว่างการอภิปรายต่างๆนี้ คูเบอร์แต็งตั้งใจหลีกเลี่ยงประเด็นต่างๆของเทคนิคกีฬาและองค์กรเช่น โอลิมปิกเกมส์ เพื่อมุ่งความสนใจโดยเฉพาะที่ประเด็นต่างๆของกีฬาศึกษา

อองรี ดิดอน (Henri Didon) บาทหลวงชาวโดมินิกัน เป็นเพื่อนที่เสมือนญาติผู้ใหญ่ของคูเบอร์แต็งและเป็นผู้บรรยายหลักหัวข้อ “อิทธิพลด้านจริยธรรมของการกีฬา” สัมพันธภาพใกล้ชิดและความเป็นตัวแบบของดิดอนที่มีต่อคูเบอร์แต็งเป็นที่เด่นชัดตลอดคริสต์ทศวรรษ 1890 การประชุมสภาโอลิมปิกที่เมืองลูอาวาก็มีความพยายามเรียกร้องความสนใจของชาวฝรั่งเศสต่อการทำงานของคณะกรรมการโอลิมปิกที่เกี่ยวข้องต่อโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่สองซึ่งจะได้รับการจัดขึ้นในกรุงปารีส ค.ศ.1900

คูเบอร์แต็งและเพื่อนๆเริ่มเตรียมการสำหรับโอลิมปิกเกมส์เหล่านี้ช้าเกินควร โดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันเพิ่งได้รับการจัดตั้งใน ค.ศ.1898 และคณะกรรมการต่างทำงานไม่หยุดหย่อนและจัดส่งกำหนดการของโอลิมปิกเกมส์แก่ทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม แรงต่อต้านจากผู้จัดงานแสดงสินค้าโลกก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ผู้จัดเหล่านี้วางแผนการแสดงอุปกรณ์กีฬาและการสาธิตกีฬาตามกำหนดการตลอดปีซึ่งจะทำให้กีฬานิยมต่างๆได้รับการชมในรูปแบบของตนเองที่รวมถึงรายการแข่งขันสำหรับทั้งนักกีฬาอาชีพและสมัครเล่น โดย U.S.F.S.A ตกลงสนับสนุนโปรแกรมกีฬาของงานแสดงสินค้าโลกที่จัดโดยรัฐบาลฝรั่งเศส คูเบอร์แต็งถอนตัวจากงานของสหภาพสมาคมนี้เนื่องจากการจู่โจมนี้ จนกระทั่ง ค.ศ.1899 ซึ่งเขาตระหนักถึงความไม่มีประสิทธิผลของทัศนคตินี้และเข้าร่วมการตกลงกับผู้จัดงานแสดงสินค้าโลก คูเบอร์แต็งขอให้บรรจุ “การแข่งขันโอลิมปิก” ในโปรแกรมกีฬาของงานแสดงสินค้าโลกโดยเขาและเพื่อนสมาชิก IOC ต่างเคี่ยวเข็ญการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์การมีส่วนร่วมกับรายการเหล่านี้ คูเบอร์แต็งรับผิดชอบรายการลู่และลานด้วยตนเอง เขากล่าวถึงความล้มเหลวของโอลิมปิกเกมส์ 1900 ไว้เพียงภายในหนังสืออัตตชีวประวัติสองเล่มคือ La Campagne de vingt-et-uns และ Memoires Olympiques ว่า นับเป็นความอัศจรรย์ที่ยุทธศาสตร์โอลิมปิกอยู่รอดปลอดภัยจากการทดลองนี้

ภายหลังการพิพาทระหว่างเมืองชิคาโกและเซนต์หลุยส์ โอลิมปิกเกมส์ครั้งที่สาม ค.ศ.1904 ก็ได้รับการจัดขึ้นที่เมืองเซนต์หลุยส์ภายในงานแสดงสินค้าโลกอีกครั้งและความยากในการแยกแยะระหว่างโปรแกรมสาธิตกีฬากับโอลิมปิกเกมส์ก็ปรากฎขึ้นเหมือนครั้งก่อน อย่างไรก็ตาม ด้วยการสืบสวนอย่างเป็นระบบของแหล่งข้อมูลต่างๆแสดงให้เห็นว่า โอลิมปิกเกมส์เหล่านี้ได้รับความเสียหายจากความสับสนที่เกี่ยวเนื่องกับงานแสดงสินค้าโลกน้อยกว่าที่นักประวัติศาสตร์ของยุทธศาสตร์โอลิมปิกเคยกล่าวถึง การเข้าร่วมของชาวยุโรปลดน้อยลงมาก อย่างไรก็ตาม การตัดสินต่างๆของ IOC ก็ได้รับการปฏิบัติตาม มาตรวัดเมตริกถูกใช้งานเป็นครั้งแรกในอเมริกา คูเบอร์แต็งไม่ได้เดินทางไปเซนต์หลุยส์ด้วยตนเองแต่มีผู้แทนจาก IOC คือ เคเมนี (Kemeny) และ เก็บฮาร์ด (Gebhardt) ในช่วงเวลานั้น คูเบอร์แต็งใส่ใจในประเด็นที่ก่อความกังวลแก่เขาในฐานะนักเขียนและผู้จัดงานกล่าวคือ การสร้างยุทธศาสตร์กีฬานิยมในฝรั่งเศสซึ่งเป็นหัวข้อในภาคสามของฉบับภาษาฝรั่งเศส

การประชุม IOC ค.ศ.1904 ในกรุงลอนดอนก่อให้เกิดการเริ่มต้นของการประชุมประจำปี การจัดโอลิมปิกเกมส์ ค.ศ.1908 มอบแก่กรุงโรมโดยคูเบอร์แต็งรู้สึกว่า การคัดเลือกครั้งนี้จะนำไปสู่การแสดงศิลปะคุณภาพระดับสูงโดยเฉพาะ ซึ่งในขณะนั้น โอลิมปิกเกมส์กลายเป็นงานสำหรับสมาคมกีฬาของประเทศเจ้าภาพโดยใช้ข้อบังคับของประเทศ เนื่องเพราะยังไม่มีข้อบังคับนานาชาติ

  โดยการเป็นภาพลักษณ์ของ IOC นั้น คูเบอร์แต็งไม่ได้แสดงอิทธิพลมากต่อรูปแบบภายนอกของโอลิมปิกเกมส์ กีฬาน้อยชนิดที่มีสหพันธ์กีฬานานาชาติ จึงมีการคาดหวังถึงความขัดแย้งจำนวนน้อยเกี่ยวกับผลงานกีฬาในขณะนั้น

ค.ศ.1901 IOC เรียกประชุมสภาโอลิมปิกสำหรับพลศึกษา ณ กรุงบลัสเซลส์ แต่การประชุมไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่ง ค.ศ.1905 โดยแทนที่จะเป็นการเรียกร้องถึงบูรณาการของโปรแกรมโอลิมปิกตามเป้าประสงค์เดิม การประชุมครั้งนี้กลับตรวจสอบแต่เพียงโอกาสต่างๆที่ปรากฎขึ้นจากการออกกำลังกายในรูปแบบหลากหลายของการศึกษาและชีวิตเท่านั้น

จากมุมมองของพวกเราในปัจจุบัน พวกเราต้องพิจารณาประเด็นของการอภิปรายเหล่านี้ต่อความรุดหน้าของการกีฬาจากการแก้ไขและความผิดพลาด ข้อเสนอแนะต่างๆที่ได้รับยังมีที่เกี่ยวข้องกับมาตรการระยะยาวสำหรับกีฬายานยนต์ ในขณะเดียวกัน ประเทศอิตาลีสนทนาเกี่ยวกับการแข่งขันรถยนต์จากกรุงโรมถึงเมืองมิลานสำหรับโอลิมปิกเกมส์ ค.ศ.1908 ซึ่งเป็นแนวคิดหนึ่งที่คงไม่มีใครในปัจจุบันจะนำมาเชื่อมโยงกับโอลิมปิกเกมส์อีกแล้ว

ขอบเขตของการมีส่วนร่วมนานาชาติในสภาโอลิมปิกที่กรุงบรัสเซลส์เป็นที่น่าประหลาดใจ โดย IOC สามารถกล่าวอ้างอย่างสมเหตุผลต่อการเป็นมากกว่าผู้จัดโอลิมปิกเกมส์ ด้วยการสนับสนุนจากกษัตริย์เบลเยียม การตบแต่งสถานที่ของสภาโอลิมปิกได้ถูกจัดเตรียมอย่างชำนาญการและสร้างความประทับใจอย่างยิ่ง ซึ่งคูเบอร์แต็งต้องการความสำเร็จนี้โดยเฉพาะเมื่อโอลิมปิกเกมส์สองครั้งก่อนหน้าไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในทวีปยุโรปและปัญหาการเงินกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นในกรุงโรมสำหรับโอลิมปิกเกมส์ ค.ศ.1908

คูเบอร์แต็งจัดทำวุฒิบัตรโอลิมปิกและใช้สภาโอลิมปิกที่กรุงบรัสเซลส์ในการมอบแก่ธีโอดอร์ โรซเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ได้รับ คูเบอร์แต็งมีความเห็นว่า โรซเวลต์คือตัวอย่างของการบรรลุดุลยภาพด้านร่างกาย สติปัญญาและจิตใจ ซึ่งเป็นการย้ำเตือนของคูเบอร์แต็งต่อพันธกิจคณะกรรมการของเขาที่มีมากกว่าโอลิมปิกเกมส์

โอลิมปิกเกมส์รองได้ถูกจัดขึ้นใน ค.ศ.1906 ณ กรุงเอเธนส์ ด้วยชาวกรีกต้องการใช้เหตุการณ์นี้เพื่อยืนยันความตั้งใจของพวกเขาในการรักษาโอลิมปิกเกมส์รองในประเทศกรีซสองปีนับจากโอลิมปิกเกมส์หลัก คูเบอร์แต็งไม่ได้เข้าร่วมโดยเขาเล็งเห็นว่า เกมส์รองนี้เป็นภัยต่อจังหวะรอบสี่ปีที่ได้กำหนดไว้ นอกจากนี้ เขาอาจจะสงวนท่าทีเนื่องจากไม่ใด้รับการยกย่องจากชาวกรีก แม้ IOC จะสนับสนุนเกมส์รองเหล่านี้ แต่คูเบอร์แต็งเห็นประโยชน์ประการเดียวแก่ชาวกรีกกล่าวคือ การฟื้นฟูการติดต่อระหว่างนักกีฬา ผู้ชมและจิตวิญญาณของประเทศกรีซ

ทั้งนี้ คูเบอร์แต็งมีสิ่งจูงใจที่สำคัญกว่าการเดินทางไปประเทศกรีซ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1906 คูเบอร์แต็งจัดการประชุมเชิงปรึกษาด้านศิลปะในกรุงปารีสด้วยคำร้องขอจาก IOC ในช่วงเริ่มต้นยุทธศาสตร์ของเขานั้น คูเบอร์แต็งตั้งใจปล่อยแผนงานนี้ไว้เบื้องหลังเพื่อขับเคลื่อนรุดหน้าพร้อมกับการดำเนินงานขั้นต่างๆในระยะยาวของเขา

การประชุมสภาโอลิมปิกที่เมืองลูอาวาและกรุงบรัสเซลส์เชื่อมโยงกีฬาและวิทยาศาสตร์ แต่ล้มเหลวกับศิลปะ สิ่งที่คูเบอร์แต็งมองเห็นคือ โอลิมปิกเกมส์ต้องบรรจุองค์ประกอบต่างๆที่จะนำไปสู่การแข่งขันนานาชาติและควรเน้นย้ำถึงความหมายแท้จริงของโอลิมปิกเกมส์ด้วยการรื้อฟื้นตัวแบบอดีต

ค.ศ.1904 คูเบอร์แต็งเขียนในวารสาร Le Figaro ว่า “ถึงเวลาสมควรแก่การดำเนินงานขั้นต่อไปและการฟื้นฟูโอลิมปิกสู่ความสวยงามดั้งเดิม ในช่วงรุ่งเรืองของเมืองโอลิมเปีย บูรณาการระหว่างวรรณกรรม ศิลปะและกีฬานำมาซึ่งความอลังการของโอลิมปิกเกมส์ สิ่งเหล่านี้จักต้องปรากฎขึ้นจริงในอนาคต”

การประชุมที่ปรึกษาหยิบยกประเด็น “ขอบเขตและรูปแบบใดของศิลปะและวรรณกรรมที่จะสอดคล้องกับการเฉลิมฉลองรอบปีโอลิมปิกสมัยใหม่” และ “กีฬาที่จะนำมาซึ่งความรื่นเริงหากมีเครื่องแต่งกายที่สวยงาม”   ปรากฎในงานนิพนธ์ของคูเบอร์แต็งใน ค.ศ.1911 ว่าด้วยกรีฑาแนวรัสกินนิยม โดยจอห์น รัสกิน (John Ruskin ค.ศ.1819-1900) คือ นักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษผู้นำเสนอทฤษฎีว่า ความสวยแสดงจิตวิญญาณของจักรวาล เป็นที่ประทับใจและแรงบันดาลใจสำคัญของคูเบอร์แต็ง โอลิมปิกเกมส์ในฐานะประจักษ์พยานของเยาวชนจะปรากฎขึ้นใหม่ทุกสี่ปีและการแสดงถึงรูปแบบใหม่ของ “ลัทธิแก่นมนุษย์” จำเป็นต้องการรูปแบบเอกลักษณ์ โดยพิธีเปิดและปิด การประกาศชัยชนะ ห่วงโอลิมปิก ธงโอลิมปิก รวมทั้งคำปฏิญาณโอลิมปิกและเปลวไฟโอลิมปิกจะสร้างกรอบงานเฉลิมฉลอง งานสร้างสรรค์ที่น่าประทับใจตั้งแต่มิติสุนทรียภาพจะประกันถึงคุณค่าที่ยั่งยืนของโอลิมปิกเกมส์เนื่องเพราะเป็นการสะท้อนความสำคัญที่บุรพกาลมีความยึดโยงต่อศิลปะและการเฉลิมฉลองพิธีการต่างๆ

จากจุดเล็กนี้ทำให้เข้าใจรสนิยมดนตรีของคูเบอร์แต็งต่อแว็กเนอร์ซึ่งทำให้เขาเข้าร่วมเทศกาลไบรอยท์อยู่หลายคราว อย่างไรก็ตาม งานศิลปะของคูเบอร์แต็งไม่ใช่ “The Ring of the Nibelungen” แต่เป็น “โอลิมปิกเกมส์”

การประชุมปารีส ค.ศ.1906 ลงมติให้นำเสนอการแข่งขันศิลปะโอลิมปิกห้าชนิดคือ  สถาปัตยกรรม ประติมากรรม การวาดภาพ วรรณกรรม และดนตรี พร้อมข้อแนะนำต่างๆเกี่ยวกับรูปแบบศิลปะของผลงานกีฬาที่เป็นไปได้อย่างกว้างขวางที่สุด

กรุงโรมถอนตัวจากโอลิมปิกเกมส์ ค.ศ.1908 และกรุงลอนดอนเสนอตัวในนาทีสุดท้าย โดยเหตุนี้ การแข่งขันศิลปะจึงไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งโอลิมปิกเกมส์ ค.ศ.1912 ที่กรุงสต็อกโฮล์ม คูเบอร์แต็งชนะเหรียญทองโอลิมปิกสำหรับวรรณกรรมภายใต้ชื่อแฝงคือ Hohrod/Eschbach (เยอรมนี/ฝรั่งเศส) สำหรับผลงาน “Ode to Sport” โดยเขาปกปิดการเข้าร่วมและชัยชนะเป็นความลับโดยไม่ระบุที่ใดในงานนิพนธ์ภายหลังการเสียชีวิต

การแข่งขันศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมโอลิมปิกจนถึงโอลิมปิกเกมส์ ค.ศ.1948 นับจากนั้น การแข่งขันเหล่านี้ได้รับการเสนอจากผลงานศิลปะจำนวนมากของเทศกาลโอลิมปิก

การประชุมที่ปรึกษาปารีส ค.ศ.1906 เกิดผลลัพธ์อีกประการหนึ่งคือ การแข่งขันสถาปัตยกรรมนานาชาติ ค.ศ.1910 ของ IOC และหัวข้อคือ การนำเสนอแบบจำลอง “เมืองโอลิมเปียสมัยใหม่” สภาสถาปนิกปารีสตกลงที่จะจัดตั้งคณะผู้ตัดสิน โดยสถาปนิกสองคนจากเมืองโลซานน์ชนะรางวัลอันดับหนึ่งสำหรับแบบจำลองเมืองโอลิมปิกรอบทะเลสาบเจนีวาของพวกเขา ความผูกพันระหว่างคูเบอร์แต็งกับเมืองโลซานน์จึงเกิดขึ้นอย่างมั่นคง

  บทบาทของศิลปะในโอลิมปิกเกมส์และกีฬาประจำวันมีนัยสำคัญต่อคูเบอร์แต็งดังปรากฎอยู่จำนวนมากในฉบับนี้

รูปแบบสุดท้ายสำหรับโครงการโอลิมปิกของคูเบอร์แต็งเริ่มต้นที่กรุงลอนดอน ค.ศ.1908 และเจิดจรัสที่กรุงสต็อกโฮล์ม ค.ศ.1912 สมาคมกีฬาแห่งชาติต่างๆพร้อมด้วยนักกีฬาให้การยอมรับโอลิมปิกเกมส์เป็นจุดสูงสุดของโลกกีฬา โดย IOC ตระเตรียมแนวทางของจุดเปลี่ยนนี้ต่อรายการกีฬาที่การประชุมสภาโอลิมปิก ค.ศ.1914 ซึ่งสหพันธ์กีฬานานาชาติ (IF) มีความรับผิดชอบพิเศษด้านเทคนิคของโอลิมปิกเกมส์

คูเบอร์แต็งจัดประชุมสภาโอลิมปิกการศึกษาที่เมืองโลซานน์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1913 เพื่อตรวจสอบอิทธิพลด้านจิตวิทยาและสรีระวิทยาของกีฬาต่อการกำหนดบุคลิกภาพ แนวคิด “จิตวิทยากีฬา” มีจุดเริ่มต้นจากการประชุมนี้ซึ่งคูเบอร์แต็งเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบด้านการศึกษาที่หลากหลายของ IOC ในมิติต่างๆของแนวคิดโอลิมปิก

จาก “แนวคิดโอลิมปิก” สู่ “อุดมการณ์โอลิมปิก”

มิติปรัชญาและการศึกษาของอุดมการณ์โอลิมปิกได้รับการเน้นย้ำในหัวข้อ 5 ของฉบับนี้ คูเบอร์แต็งเขียนหัวข้อนี้จำนวนหลายครั้งในฐานะมิติประวัติของอุดมการณ์โอลิมปิก โดยบทความทั้งหมดเกิดขึ้นภายหลัง ค.ศ.1911 ยกเว้นเพียงชิ้นเดียว โดยเหตุนี้ พวกเราจึงอนุมานได้ว่า ในช่วงเวลานั้น ประเด็นต่างๆเกี่ยวกับการจัดโอลิมปิกเกมส์และยุทธศาสตร์โอลิมปิกมีความสำคัญน้อยกว่ามากสำหรับคูเบอร์แต็ง

เขาทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อทำให้ “แนวคิดโอลิมปิก” เป็นจริงซึ่งเขาได้สร้างคำใหม่คือ “อุดมการณ์โอลิมปิก” สำหรับคูเบอร์แต็งแล้ว “อุดมการณ์โอลิมปิก” ไม่มีลักษณะสถาบันของระบบใด แต่เกี่ยวกับทัศนคติเชิงจริยธรรมของบุคคลและจากพื้นฐานนี้ก็รวมถึงมนุษยชาติด้วย สำหรับจุดหมายนี้ คูเบอร์แต็งรื้อฟื้นเป้าหมายเชิงศาสนาของโอลิมปิกเกมส์โบราณแก่โอลิมปิกเกมส์สมัยใหม่โดยไม่เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของเกมส์แต่ประการใด

บทความต่างๆของ “อุดมการณ์โอลิมปิก” ที่พวกเราคัดเลือกมีนัยสำคัญยิ่งในภาคนี้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ได้เปิดเผยความคิดของคูเบอร์แต็งเกี่ยวกับ “ปรัชญาโอลิมปิก” ของเขาในหลายแนวทาง คูเบอร์แต็งคือนักการศึกษาที่มีศรัทธาแรงกล้าและความเชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมและเทคโนโลยีของอารยธรรมในต้นคริสต์ศตวรรษยี่สิบใฝ่หามนุษย์และการศึกษารูปแบบใหม่ ในมุมมองของคูเบอร์แต็งนั้น โอลิมปิกศึกษาตั้งอยู่ “บนลัทธิความพยายามและความเป็นหนึ่ง” และความรักต่อความหรูหราผสมผสานกับความรักต่อความพอเพียง

คูเบอร์แต็งพิจารณาผู้ชนะโอลิมปิกที่แท้จริงในลักษณะบุรุษเต็มวัย นักกีฬานี้คือภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการแต่งโฉมในแต่ละรอบปีโอลิมปิก โดยเหตุดังนั้น คูเบอร์แต็งจึงมองโอลิมปิกเกมส์เป็น “เทศกาลยิ่งใหญ่รอบสี่ที่เบ่งบานของมนุษยชน” เขารู้สึกว่า ผู้มีส่วนร่วมและผู้รับชมควรได้รับการเตรียมที่เหมาะสมสำหรับเทศกาลนี้ การจัดเตรียมนี้จะประสบผลด้วยการจัดกีฬาศึกษาในระยะยาวแก่เยาวชนและสาธารณชนทั้งปวงเท่านั้น

ค.ศ.1918 คูเบอร์แต็งตอบคำถาม “อุดมการณ์โอลิมปิกคืออะไร?” ดังนี้ อุดมการณ์โอลิมปิกคือ จิตวิญญาณแห่งพลังซึ่งหมายถึง การบ่มเพาะพลังจิตที่พัฒนาผ่านการเล่นกีฬาหลายชนิดที่พร้อมด้วยสุขอนามัยเหมาะสม จิตสาธารณะ ศิลปะ และความคิด” ซึ่งดูเหมือนว่า คูเบอร์แต็งจะไม่สังเกตถึงบูรณาการของทิศทางนี้ว่า เป็นการเรียกร้องที่มากเกินควรสำหรับเพื่อนโอลิมปิก นักกีฬา และแม้กระทั่งยุทธศาสตร์โอลิมปิกของเขาเอง การหล่อหลอมแนวคิด “จิตวิญญาณกีฬา” สมัยใหม่นี้ คูเบอร์แต็งนำพายุทธศาสตร์ของเขาไปไกลกว่าเป้าหมายเดิมทางการศึกษาของตนเอง ระบบปรัชญาที่เขานำมาปะติดปะต่อกันนั้น ขาดความชัดแจ้งโดยเฉพาะการอ้างอิงเชิงจิตวิญญาณของมนุษย์สมัยโบราณและนักกีฬาซึ่งเป็นสมมติฐานที่ไม่ปรากฎ ตามหลักฐานทั้งหมดนั้น วิสัยทัศน์ของคูเบอร์แต็งต่อลัทธิกรีกนิยมและความไร้ระเบียบของการเมืองโลกทำให้เขามีความสุดโต่งเช่นนี้

WWI หยุดยั้งกิจกรรมต่างๆของคูเบอร์แต็งโดยทำให้กีฬานานาชาติชะงักลงแม้จะเพิ่งเริ่มต้นเผยแพร่ในขณะนั้นรวมทั้งการยกเลิกโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่หก ค.ศ.1916 ความคิดอ่านของคูเบอร์แต็งเกี่ยวกับสันติภาพโอลิมปิกที่สืบทอดจากบุรพกาลพร้อมด้วยอุดมคติของความเป็นหนึ่งได้ถูกทำลายลง

คูเบอร์แต็งย้ายสำนักงานใหญ่ของ IOC ไปเมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นกลางทางการเมืองใน ค.ศ.1915 เพื่อปกป้องยุทธศาสตร์ของเขา (อย่างน้อยในเชิงสถาบัน) จากเงื้อมมือชั่วร้ายของสงคราม คูเบอร์แต็งรู้จักและชื่นชอบเมืองโลซานน์จากการแข่งขันสถาปัตยกรรม ค.ศ.1910 และระหว่างการประชุมสภาโอลิมปิก ค.ศ.1913 โดยเขาอาจต้องการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ของ IOC ให้ใกล้กับคณะกรรมการนานาชาติของสภากาชาดซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในสวิสเซอร์แลนด์ งานนิพนธ์ของคูเบอร์แต็งเกี่ยวกับเมืองโลซานน์และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ปรากฎในบท 6.4 ของฉบับนี้

ประวัติยุทธศาสตร์โอลิมปิกมักจะไม่กล่าวถึงงานของคูเบอร์แต็งในระหว่างเดือนมกราคม ค.ศ.1916 และการสิ้นสุดสงคราม ค.ศ.1918 ว่า เขาได้มอบตำแหน่งประธาน IOC เป็นการชั่วคราวแก่กู๊ดฟร็อย์ เดอ บลูเนย์ (Godefroy de Blonay ผู้แทนชาวสวิสใน IOC) คูเบอร์แต็งคือผู้รักชาติที่ปฏิบัติหน้าที่และเข้าร่วมกองทัพฝรั่งเศส ในขณะอายุ 52 เขาได้รับมอบหมายการสอนหน้าที่พลเมืองแก่เยาวชนฝรั่งเศส

อาจจะผิดพลาดที่จะวิพากษ์ว่า กิจกรรมเหล่านี้และแนวคิดโอลิมปิกของคูเบอร์แต็งเป็นสิ่งตรงข้ามกันซึ่ง “ความเคารพต่อนานาประเทศ” เป็นบัญญัติแรกแห่งศรัทธาของเขา โดยเหตุนี้ เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะไม่ปฏิบัติตามบัญญัตินี้เมื่อเกี่ยวข้องกับประเทศตนเอง? คูเบอร์แต็งพิจารณารูปแบบชาตินิยมนี้ว่า เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้แม้อาจจะถูกหักล้างด้วยนานาชาตินิยมที่แท้จริง

            หายนะของ WWI ภายหลัง ค.ศ.1917 ส่งอิทธิพลอย่างยิ่งต่อคูเบอร์แต็งในประเด็นพื้นฐานของกีฬาศึกษากล่าวคือ การกีฬาซึ่งเป็นสินค้าสาธารณะร่วมกันของทุกสังคมรัฐโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตภายหลัง ค.ศ.1918 ควรเป็นจุดเริ่มต้นสันติภาพของสังคมและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์โอลิมปิกเพื่อสันติภาพของโลกทั้งมวล

ยามที่คูเบอร์แต็งกล่าวว่า “มีความจำเป็นต่อการสัมพันธ์กับมวลชน” นั้น เขาอธิบายได้ดีกว่าใครสำหรับแผนงานที่เขานำไปปฏิบัติภายหลัง ค.ศ.1918 โดยเป็นที่แน่ชัดว่า การที่โอลิมปิกเกมส์ให้ความสำคัญแก่บุคคลนั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้การกีฬาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้ คูเบอร์แต็งจึงเขียนใน ค.ศ.1918 ว่า โอลิมปิกศึกษาที่จำเป็นนั้นต้องมี “สถาบันถาวร” อย่างไรก็ตาม เขาทำได้เพียงข้อเสนอแนะและแนวคิดทฤษฎีต่างๆเท่านั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาเรียกร้องการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเมืองควบคู่ไปกับ “ยิมเนเซียมโบราณ” และมอบตัวอย่างจริงของสถาบันนี้ด้วยการจัดตั้งสถาบันโอลิมปิกที่เมืองโลซานน์ ผลจากการฝึกงานของทหารเบลเยียมและฝรั่งเศส ค.ศ.1917-1918 คือปรากฎการณ์ที่ดียิ่ง ซึ่งความปรารถนาของเขาในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมวลชนได้ปรากฎขึ้นจริงเป็นครั้งแรก ความใฝ่ฝันของเขาในการทำสิ่งนี้ไม่เคยสั่นไหวโดยมีตัวอย่างจำนวนมากในภาคแรกของฉบับนี้

เมื่อสิ้นสุด WWI แล้ว คูเบอร์แต็งเพิ่มบทบาทแก่อุดมการณ์โอลิมปิกกล่าวคือ “การเผชิญหน้ากับโลกใหม่ที่ต้องการระเบียบสอดคล้องต่อหลักพื้นฐานของโลกอุดมคติที่พร้อมปรับเปลี่ยน” โดยเขากล่าวว่า “มนุษยชาติต้องรวบรวมพลังอำนาจจากมรดกในอดีตเพื่อนำมาสร้างสรรค์อนาคต”

แต่ด้วยความนิยมของโอลิมปิกเกมส์ที่สูงขึ้น มุมมองของคูเบอร์แต็งต่อโอลิมปิกเกมส์เริ่มห่างไกลไปจากเป้าประสงค์เดิมเป็นอย่างมาก แม้ในระหว่างสงคราม เขายังคงจัดการโอลิมปิกเกมส์ 1920 ให้เกิดขึ้นที่เมืองแอนต์เวิร์ปเพื่อรักษาความต่อเนื่องของรอบสี่ปีโบราณ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการกล่าวอ้างว่า แม้โอลิมปิกเกมส์กลายเป็นปรากฎการณ์นานาชาติ แต่มวลชน “ยังคงสับสนต่อนัยสำคัญของเกมส์” ความหวังของเขาในการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เกิดผลเนื่องจากความอลหม่านใหญ่หลวงของ WWI ที่ติดตามมา

คูเบอร์แต็งคือนักอุดมคติที่ไม่หวังจะแลกเป้าหมายสูงส่งของมนุษยนิยมกับผู้ทรงภูมิที่มีตำแหน่งใน IOC หรือสหพันธ์กีฬานานาชาติที่ขยายตัวอย่างอิสระ

            สหายทั้งหลายของเขาที่ IOC มอบความหวังที่จะเห็นกรุงปารีสกลายเป็นสำนักงานใหญ่ของโอลิมปิกเกมส์ ภายหลังความสำเร็จยิ่งใหญ่นี้ คูเบอร์แต็งปรารถนาจะถอนตัวจาก IOC

คูเบอร์แต็งกล่าวคำปราศรัยอำลาในที่ประชุมสภาโอลิมปิก กรุงปราก ค.ศ.1925 โดยย้ำเตือนถึงภารกิจชัดเจนของรัฐสมัยใหม่ทุกแห่งต่อการประกันว่า ทุกคนมีโอกาสเข้าร่วมเล่นกีฬา ทั้งนี้ มวลชนไม่จำเป็นต้องสรรเสริญตัวแบบกีฬาหากตนเองไม่เล่นกีฬา นอกจากนี้ เขายังประกาศแผนการศึกษาต่างๆนอกเหนือจากยุทธศาสตร์โอลิมปิก

แผนงานเหล่านี้ก่อให้เกิดการจัดตั้ง “สหภาพการศึกษาสากล” (Universal Educational Union: U.P.U.) ใน ค.ศ.1925 ตามคำแนะนำของคูเบอร์แต็งซึ่งนำเสนอแผนงานสากลของการศึกษาใน ค.ศ.1930 นอกจากนี้ ยังมีสิ่งพิมพ์ต่างๆขององค์กรกีฬาศึกษานานาชาติ (International Bureau of Sports Pedagogy: B.I.P.S.) ซึ่งเขาก่อตั้งใน ค.ศ.1926 และทำหน้าที่อำนวยการ

ความขัดแย้งราวจะเกิดขึ้นเมื่อคูเบอร์แต็งวิพากษ์สมาชิก IOC ต่อการแสดงบทบาท “ที่ปรึกษาด้านเทคนิค” มากกว่า “ผู้พิทักษ์” จิตวิญญาณโอลิมปิก แต่ก็กล่าวถึงความสำเร็จยิ่งใหญ่ของแนวคิดโอลิมปิกและยิ่งกว่านั้นคือ “ชัยชนะของอุดมการณ์โอลิมปิก”

ภายในบทความ “เมืองโอลิมเปีย” ในฉบับนี้ คูเบอร์แต็งเสนอความเห็นใน ค.ศ.1929 ดังนี้ “ข้าพเจ้าจะส่งมอบการควบคุมที่มีประสิทธิผลของอุดมการณ์โอลิมปิกที่ได้รับการรื้นฟื้นแก่ผู้สืบทอดของข้าพเจ้าก็ต่อเมื่อข้าพเจ้าประเมินงานรื้อฟื้นนี้ว่า ประสบผลในรายละเอียดทั้งหมดพร้อมการปรับตัวสู่ความจำเป็นต้องการปัจจุบัน”

หากคูเบอร์แต็งพิจารณาอุดมการณ์โอลิมปิกเสมือนเป็นอุดมคติสำหรับรูปแบบการศึกษาที่เน้นย้ำสมรรถนะร่างกาย สติปัญญา และจิตใจของบุคคลแล้ว ทำไมเขาจึงต้องอรรถาธิบายอีกแนวคิดหนึ่งเมื่อเขาออกจาก IOC? โดยเหตุที่คูเบอร์แต็งตระหนักดีถึงพันธกิจการศึกษาของตนเอง เขาจึงต้องต่อสู้กับสิ่งกีดขวางทั้งหลายแม้กระทั่งสภาพความเป็นจริงที่บังคับตัวเขาอยู่ ไม่มีใครปฏิเสธคุโณปการอันเป็นที่ประจักษ์ของเขาต่อความสำเร็จของโอลิมปิกเกมส์ แต่ทำใมเขาจึงต้องหักล้างผลงานที่สร้างชื่อให้แก่ตนเอง?

อุดมคติชั้นสูงของคูเบอร์แต็งต่อยุทธศาสตร์โอลิมปิกไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้สืบทอดตำแหน่งประธาน IOC กล่าวคือ เบล์ยิต-ละทัวร์ (Baillet-Latour ชาวเบลเยียม) หรือคนอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ย้ำเตือนคุณลักษณะเฉพาะด้านจริยธรรมของตำแหน่งนี้

“ข้อความถึงนักกีฬาเยาวชนทุกชาติ” ที่ส่งจากเมืองโอลิมเปีย ค.ศ.1927 และตีพิมพ์อีกครั้งในฉบับนี้ รวมทั้ง “ข้อความถึงนักกีฬาและผู้มีส่วนร่วมในโอลิมปิกเกมส์ อัมสเตอร์ดัม 1928” ตลอดจน “ข้อความถึงเยาวชนอเมริกัน” ค.ศ.1934 ในวาระครบรอบสี่สิบปีของ IOC คือ ประจักษ์พยานสำคัญของการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของคูเบอร์แต็งต่อการเจริญเติบโตต่อเนื่องของยุทธศาสตร์โอลิมปิก

คูเบอร์แต็งกังวลต่อสุขภาพของลูกสองคน ตัวเขาเองก็มีความทุกข์จากความชราก่อนวัย นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 พลังขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆของนักประชาสัมพันธ์ชั้นเลิศดับมอดลง โดยในช่วงแรก เขาวางแผนที่จะเขียนบันทึกความทรงจำห้าฉบับ แต่มีเพียงส่วนหนึ่งที่สำเร็จ ฉบับที่หนึ่งตีพิมพ์โดย B.I.P.S. ใน ค.ศ.1932 และ Olympic Memoirs ปรากฎขึ้นภายหลังการแปลเป็นภาษาเยอรมันไม่นานนัก

คูเบอร์แต็งไม่ได้เข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์ อัมสเตอร์ดัม 1928 หรือโอลิมปิกเกมส์ ลอสแองเจลิส 1932 แม้จะได้รับการเชิญอย่างเป็นทางการ แรงบันดาลใจของคาร์ล ดีม (Carl Diem) ต่อการวิ่งคบไฟโอลิมปิกของโอลิมปิกเกมส์ 1936 สอดคล้องอย่างยิ่งกับความคิดของคูเบอร์แต็ง โดยข้อความบันดาลใจของเขาที่มีต่อนักวิ่งคบไฟโอลิมปิกสู่กรุงเบอร์ลินคือส่วนหนึ่งของหลักบัญญัติโอลิมปิกของคูเบอร์แต็ง

กิจกรรมโอลิมปิกในช่วงท้ายชีวิตของคูเบอร์แต็งที่สำคัญสุดคือ สุนทรพจน์ว่าด้วย “หลักพื้นฐานปรัชญาของโอลิมปิกสมัยใหม่” ผ่านการถ่ายทอดสัญญาณวิทยุ ค.ศ.1936 ด้วยรูปแบบแนวคิดกระชับสุดที่ตนเองพัฒนาตลอดหลายทศวรรษเกี่ยวกับอุดมการณ์โอลิมปิกสมัยใหม่ซึ่งสามารถสรุปย่อได้สามประการกล่าวคือ

  1. “การเฉลิมฉลองโอลิมปิกเกมส์คือ การสรรเสริญประวัติศาสตร์”
  2. “อุดมการณ์โอลิมปิกไม่ใช่ระบบ แต่เป็นทัศนคติเชิงจิตวิญญาณและจริยธรรม”
  3. “ตราบปัจจุบัน ศรัทธาไม่เสื่อมคลายของข้าพเจ้าที่มีต่อเยาวชนและอนาคตคือหลักขับเคลื่อนงานของข้าพเจ้า                                                                              จากที่ห่างไกล คูเบอร์แต็งเฝ้าติดตามโอลิมปิกเกมส์ 1936 ด้วยความสนใจยิ่ง มิติศิลปะของเกมส์เหล่านี้แสดงถึงอิทธิพลของคูเบอร์แต็งเช่น การแสดง “Ode to Joy” ของบีโทเฟนในค่ำคืนพิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ เป็นต้น

ท่ามกลางการทะเลาะถกเถียงในขณะนั้นเกี่ยวกับการเมืองของโอลิมปิกเกมส์และการกีฬา แต่ความหวังของคูเบอร์แต็งที่มีต่ออนาคตของอุดมการณ์โอลิมปิกไม่เคยสั่นคลอนจวบจนลมหายใจสุดท้ายที่กรุงเจนีวาในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1937 โดยหัวใจคูเบอร์แต็งสถิตย์ภายในศิลาหินอ่อนตามเจตนารมณ์ตนเองในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ.1938 ในเมืองโอลิมเปียซึ่งห่างไม่กี่ก้าวจากสนามแข่งขันโบราณเพื่อรำลึกถึงการฟื้นฟูโอลิมปิกเกมส์ ทั้งนี้ สถาบันวิทยาการโอลิมปิกนานาชาติ (International Olympic Academy: IOA) ซึ่งคาร์ล ดีม เป็นผู้เสนอ ณ พิธีการบรรจุหัวใจคูเบอร์แต็ง ก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายในพื้นที่ใกล้กันโดยผู้ร่วมก่อตั้งคือ จอห์น เคทซีส (ประเทศกรีซ) และคาร์ล ดีม เพื่อสืบสานมรดกโอลิมปิกของปิแอร์ เดอ คูเบอร์แต็ง.

RANDOM

ประกวดกล่าวสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ หัวข้อ “เราจะสามารถแก้ไขปัญหา Climate Change โดยเริ่มจากตัวเองอย่างไรได้บ้าง ?” เพื่อเฟ้นหาตัวแทนเด็กไทยร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม COP29 ที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 16 ตุลาคม 2567

เปิดตัวแล้ว “ส.ว.กีฬา” ชุดใหม่ พิศูจน์ รัตนวงศ์ รั้งเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา ขณะที่ ธัชชญาณ์ณัช นั่งรองเบอร์ 1 ส่วน “จำลอง อนันตสุข” นั่งรอง 4 ควบโฆษกกรรมาธิการ

ราชมงคลพระนคร เปิดรับสมัครสอบแข่งขันพนักงานมหาวิทยาลัย 4 อัตรา “บริหารงานทั่วไปปฏิบัติการ-การเงินและบัญชีปฏิบัติการ-บุคลากรปฏิบัติการ” รับสมัครทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. – 4 ก.ย.นี้

มูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา ร่วมประกวดคลิปวิดีโอ ในหัวข้อ “เปลี่ยนทะเลให้เป็น Best Version…ในแบบฉบับของตัวเอง” ในกิจกรรม SEA YOU NEXT GEN Young รักษ์ทะเล ใน Best Version ที่เป็นคุณ ชิงทุนการศึกษา 140,000 บาท ส่งผลงานได้ถึง 31 ก.ค.นี้

NEWS

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบทุนการศึกษาในโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย” (ทุนการศึกษาปีสุดท้าย) ประจำปี 2568 ระดับมัธยมศึกษา ปวช. ปวส. และปริญญาตรี เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 8 สิงหาคม

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!